เคล็ดไม่ลับสำหรับคนทำงานที่ต้องใช้สมองคิด วิเคราะห์ อ่าน ทำความเข้าใจ วางแผน ฯลฯ เช่น นักคิด นักเขียน โปรแกรมเมอร์ นักวางแผน ผู้บริหาร ฯลฯ จำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้ดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพสมองให้ดียิ่งๆ ขึ้น

 

 

การทำงานของคนเราอาจจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ ก็คือ การทำงานที่ต้องใช้ความคิด ใช้แรงกาย (และความคืดบ้าง) หรือใช้ทั้งความคิดและแรงกาย ทั้ง 3 แบบนี้ ร่างกายจะใช้พลังงานไม่เท่ากัน

 

การทำงานที่ใช้ใช้สมองใช้ความคิดมากกว่าแรงกาย

การทำงานโดยใช้สมอง ตัวอย่างเช่น อาชีพ นักเขียน นักคิด โปรแกรมเมอร์ แม้จะไม่ได้ขยับตัวมากมาย แต่ร่างกายก็ใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ผู้เขียนมีอาชีพหลักก็คือนักเขียน ต้องใช้ความคิด ศึกษาหาข้อมูล ช่วงไหนทำงานหนักจะเห็นผลค่อนข้างชัดเจน แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไร ช่วงพัก อยู่ว่างๆ การกินอาหาร จะน้อยลง แต่เมื่อใดที่เริ่มงาน อ่านหนังสือ คิด เขียน ใช้สมอง ความต้องการพลังงานจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ทั้งๆ ที่แทบไม่ได้ขยับตัวมากมาย นั่งนิ่งๆ อ่านหนังสือ หรืออยู่หน้าคอมพิวเตอร์แค่นั้นเอง ดังนั้นเมื่อใด ที่ต้องทำงานที่ใช้ความคิดมากๆ จึงต้องทานอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง

 

การทำงานโดยใช้สมอง ใช้ความคิด ต้องให้สมองได้หยุดพักบ้าง

การทำงานโดยใช้สมอง โดยใช้ความคิด โดยเฉพาะคนทำงานส่วนตัวนั้นจะต่างจากคนทำงานประจำ หรือผู้ที่ใช้แรงงาน เพราะสมองจะทำงาน จะคิดๆๆ แทบตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี ต้องเรียนรู้และฝึกให้สมองได้หยุดพักบ้าง พยายามให้สมองได้หยุดพักให้เป็นเวลา เหมือนคนทำงานประจำหรือคนใช้แรงงาน ไม่เช่นนั้นจะเหนื่อยล้ามากเกินไป

 

บางคนคิดว่า การพยายามคิดๆๆ อยู่ตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องดี ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย และการทำงานส่วนตัวนั้น ยากมากๆ ที่จะควบคุมสมองไม่ให้คิด โดยเฉพาะช่วงไหนที่งานมีปัญหา สมองจะคิดแทบตลอดเวลา คนทำงานส่วนตัว เจ้าของกิจการส่วนใหญ่จึงทำงานหนักกว่าคนทำงานประจำ ดูภายนอกเหมือนไม่ได้ทำอะไร นั่งจิบกาแฟ ดูชิลๆ แต่สมองคิดเรื่องงาน หัวแทบระเบิด

 

การใช้สมองต้องฝึกใช้ทั้งสมองซีกซ้ายและซีกขวา โดยซีกซ้ายจะคิดเชิงวิเคราะห์ อารมณ์ ส่วนซีกขวาจะคิดไปทางการคำนวณ อยากรู้ว่าซีกไหนเริ่มจะไม่ทำงาน ก็ทดสอบได้ไม่ยาก เช่น ลองคำนวณตัวเลข บวก ลบ คูณ หาร คนที่สมองซีกขวายังไม่ทื่อ จะสามารถคิดหาคำตอบได้เร็ว คนที่ไม่ค่อยคิด เพราะใช้แต่เครื่องคิดเลข ก็จะคำนวณได้ช้าลง นั่นคือสมองเริ่มแย่ ต้องพยายามคิด สักพักจะเริ่มดีขึ้น แต่หากปล่อยไว้นาน อาจเสื่อมสภาพถาวร

 

นอกจากนี้ ก็ต้องฝึกในเรื่องความจำด้วย เมื่อก่อนผู้เขียนเจะจำเบอร์โทรศัพท์เพื่อนๆ ได้เป็นสิบคน เดี๋ยวนี้แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ตัวเองก็ยังจำไม่ค่อยได้เลย นี่คือ สิ่งที่บอกว่า สมองเริ่มแย่ คนทำงานใช้สมอง ใช้ความคิด จำเป็นต้องฝึกสมองหลายๆ ด้าน เพื่อให้สมองยังคงประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องการจดจำ การคิดวิเคราะห์ และคิดคำนวณ

 

สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงสำหรับคนทำงานใช้ความคิด ใช้สมองมากๆ

หลีกเลี่ยงการทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน

การทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน จะทำให้เป็นคนสมาธิสั้น สมองถูกใช้งานหนักเกินไป ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ความสามารถในการคิด การจดจำ การมุ่งมั่นในการทำงานลดลง ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง ต้องพยายามทำอย่างเดียว ทีละเรื่อง หากจะต้องทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน ก็ต้องจัดตารางให้ดี เหมือนการเรียนตามตารางเรียนแต่ละวิชานั่นเอง การทำหลายอย่างพร้อมกันเช่น อ่านหนังสือหรือทำงานอื่นๆ ไปด้วย ดู Youtube คุยแชท Line ฯลฯ ไปด้วย เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ

 

หลีกเลี่ยงการเล่นพวกโซเชียล

การเล่นโซเชียล Facebook, Line, Google Plus หรือโปรแกรมอื่นๆ มีส่วนทำให้สมองลดประสิทธิภาพลง เพราะจะกลายเป็นคนสมาธิสั้น เนื่องจากจิตใจจะจดจ่อกับโซเชียลแทบตลอดเวลา และมักจะเปิดๆ ปิดๆ หน้าจอมือถือเป็นระยะ ทำให้งานอื่นที่ทำอยู่ในขณะนั้น ขาดประสิทธิภาพ เพราะขาดสมาธิในการทำงาน

 

นอกจากนี้การเสพดราม่า คอมเมนต์ด่ากัน มีแต่ความรุนแรง ก็ไม่ใช่เรื่องดี บางเรื่องก็ทำให้เก็บมาคิด อย่างมังกรหยก ภาคเอี้ยก้วยกับเซียวเหล่งนึ่ง ออกแบบบทมาได้ยังงัย ให้นางเอกโดนปั่มปั๊มแบบนั้น คิดถึงทีไรเสียอารมณ์ทุกที 555

 

หลีกเลี่ยงการพยายามคิดอยู่ตลอดเวลา

การพยายามคิดอยู่ตลอดเวลา ใช่จะสามารถหาคำตอบที่ต้องการได้ ควรแบ่งเวลาให้สมองได้หยุดคิด หยุดพัก เหมือนการได้หยุดพักร่างกาย มีเวลากิน นอน ตื่น ออกกำลังกาย นั่นเอง สมองของเราก็เช่นกัน ให้ได้หยุดพัก ทำตัวเป็นคนสิ้นคิดเสียบ้าง เช่น การฝึกสมาธิ

 

หลีกเลี่ยงการพยายามศึกษาหาความรู้หลายเรื่องมากเกินไป

การศึกษาหลายเรื่องพร้อมกันไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะไม่ดีต่อสมองอย่างแน่นอน หากพยายามทำทุกเรื่องให้ประสบความสำเร็จ จะเข้าตำรา ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะคนเราไม่มีทางทำอะไรหลายอย่างสำเร็จได้ในเวลาเดียวกัน เป็นเรื่องยากมาก จึงไม่ควรทำ ถ้าคิดจะทำก็ต้องมีผู้ช่วย

 

หลีกเลี่ยงทั้งงานที่ต้องใช้ทั้งความคิดและแรงกาย

งานที่ต้องใช้ทั้งความคิดและแรงกาย เช่น กลางวันทำงานก่อสร้าง ส่วนกลางคืนต้องทำงานที่ใช้ความคิด ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้ กลางวันดูแลสวน ตัดหญ้าถางป่า รดน้ำต้นไม้กลางคืนศึกษาการใช้โปรแกรมต่างๆ เพื่อเขียนบทความ เหนื่อยมาก แทบน็อค

 

การใช้งานสมองให้คุ้มค่า

การใช้จดบันทึกช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานของสมอง

การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ให้ใช้การจดบันทึกและแยกเก็บในตู้เก็บเอกสาร หรือชั้นเก็บเอกสาร จดบันทึกงานลงกระดาษให้เป็นระเบียบ ก็จะช่วยลดภาระการจำของสมองได้ สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ เพราะข้อมูลในกระดาษจะทำหน้าที่ช่วยสมองจดจำรายละเอียดอีกที เมื่อเห็นข้อมูลที่จดบันทึกไว้ ก็จะจำได้ทันที

 

ทุ่มเทศึกษาเพื่อสร้างความรู้ที่ใช้งานได้ยาวนาน

การทุ่มเทศึกษาเพื่อสร้างความรู้ที่สามาถใช้งานได้ยาวนาน ย่อมดีกว่าการเสียเวลาเริ่มต้นศีกษาใหม่บ่อยๆ เช่น การศึกษาการใช้งานมือถือรุ่นต่างๆ ซึ่งเปลี่ยนรุ่นเร็วมาก ทำให้เสียเวลา ต้องติดตามอยู่เรื่อยๆ เพื่อรีวิวการใช้งาน ในขณะที่การศึกษาการเขียนแอปสำหรับมือถือ อาจเสียเวลาครั้งเดียว แต่ใช้ความรู้หากินได้อีกนาน นี่ก็คือตัวอย่างการใช้งานสมองให้คุ้มค่า

 

อย่าใช้การเก็บเป็นไฟล์ไว้ในคอมพิวเตอร์หรือมือถือ เพราะจะต่างจากการจัดเก็บข้อมูลในสมุดหรือกระดาษ ซึ่งจะสร้างแผนที่ในใจได้ดีกว่า เช่น ข้อมูลอยู่หน้าไหน บรรทัดไหน ก็สามารถจำได้ แต่ไฟล์ในคอมพิวเตอร์ ข้อมูลในไฟล์ใดๆ ยากจะจดจำได้ เคยไหมกับการย้อนไปอ่านเรื่องราวเก่าๆ ที่เคยบันทึกไว้ แค่เริ่มต้นอ่านไม่กี่คำ แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ถูกระลึกได้ทันที

 

การทำงานโดยใช้สมองหรือใช้ความคิดมากๆ ส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนมากกว่าการทำงานประเภทใช้แรงกาย หรือแม้แต่งานประจำ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้การดูแลสมอง ฝึกสมาธิ ฝึกความจำ ลับสมองให้คมอยู่ตลอดเวลา สมองที่ดีเหมือนเครื่องประมวลผลที่ดี เมื่อใส่ข้อมูลลงไป ก็จะทำงานได้เร็ว ส่วนการลงมือทำนั้น สามารถใช้คนอื่นแทนแขนขาได้ สมองดีย่อมได้เปรียบคนอื่น