ความหมาย : สำนวนนี้จะพูดถึงการเจ็บป่วย ต้องนอนรักษาตัว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้อง ล้มหมอน นอนเสื่อ อยู่อย่างนั้น ซึ่งความเจ็บป่วยของคนเรานั้นก็เป็นเรื่องปกติ ที่จะเกิดกับตัวเองไม่วันใด ก็วันหนึ่ง เพราะคนส่วนใหญ่ก็ ไม่ได้ดูแลสุขภาพของตัวเองอยู่แล้ว จะเริ่มดูแลก็เมื่อเจ็บป่วย

ตัวอย่าง :

คนเราถ้าไม่เจ็บป่วยหนักถึงขั้น ล้มหมอน นอนเสื่อ ป่วย ต้องนอนซม ลุกไม่ขึ้น จนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หากไม่เจ็บป่วย หนักถึงขั้นนั้น ก็ยากจะคิดเรื่องการดูแลตนเอง เริ่มคิดเรื่องการออกกำลังการ ดูแลอาหารการกิน เริ่มกลัวตาย แต่ก็แค่นั้น พอ หายป่วย ก็เหมือนเดิม ไม่ดูแลตัวเองเหมือนเดิม

ยามร่ำรวย มีรายได้ มีเงิน ก็ต้องเตรียมรับมือยามลำบาก ในอนาคต อย่าประมาท เพราะชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง มีรวย มีจน แต่ในยามลำบากยากไร้นั้น มักจะมีปัญหาเข้ามารอบด้านเสมอ บางคนก็ทั้งเจ็บป่วย ล้มหมอน นอนเสื่อ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ งานการก็ไม่ดี รายได้ก็ไม่มี เรื่องแบบนี้ มักจะเกิดกับคนเราเสมอ อย่างนั้นก็สักครั้งหนึ่ง คล้ายกับเพื่อสอนให้คนเรารู้ว่า อย่า ได้ประมาท เพราะความเจ็บป่วยนั้น จะสร้างปัญหาอย่างมากกับตัวเราเอง จึงต้องเตรียมรับมือ วางแผนรับมือให้พร้อม

การเจ็บป่วยของสมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียว ต้อง ล้มหมอน นอนเสื่อ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็ทำให้ครอบครัวล่มสลาย ได้เหมือนกัน บางครอบครัวที่พ่อหรือแม่เจ็บป่วย ต้องนอนรักษาตัว ลุกไม่ได้ จะเข้าห้องน้ำ ก็ต้องมีคนช่วยยก สร้างภาระให้ ครอบครัวอย่างมาก การดูแลตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่าเอาแต่คิดฝากความหวังในการดูแลตัวเองไว้ที่คนอื่น

พ่อแม่บางคนก็จะฝากความหวังให้ลูกหลานดูแล แต่ไม่ดูแลตนเอง ไม่ออกกำลังกาย ไม่ดูแลเรื่องอาหารการกิน หลงอบายมุข ใช้จ่าย ฟุ่มเฟือย ยามเจ็บป่วยจะสร้างภาระให้ลูกหลานอย่างมาก การต้องดูแลคนป่วย นอนอยู่กับที่ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั้น ต้อง ช่วยกันหลายคน ต้องมีเวลา ยิ่งกว่าเฝ้ายามกลางคืน หากลูกหลานไม่ได้ทำงานส่วนตัว ไม่มีรายได้ ก็อาจจะสร้างปัญหาต้องลา งานหรือลาออกจากงาน เรื่องแบบนี้ถ้ายังไม่เกิดกับครอบคัวของตัวเอง น้อยคนจะเตรียมตัวรับมือ และไม่รู้ถึงความรุนแรงของ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา เพราะความเจ็บป่วยบางอย่างต้องใช้เงินรักษาอย่างมาก บางคนเป็นมะเร็ง หมดค่ารักษาไป 2 ล้าน หากเจอกรณีอย่างนี้ ก็คงจะต้องขายสมบัติทุกอย่าง เพื่อเอามารักษา