การใช้มือถือ iPhone นั้น จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริมมากหรือน้อย ถูกหรือแพง ก็ขึ้นอยู่กับการนำมือถือไปใช้งาน หากเป็น การใช้งานทั่วไป รับสาย ติดต่อ อ่านข่าว ดูวิดีโอ ใช้โซเชียล สแกนรับเงิน จ่ายเงิน ก็อาจจะไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม แต่หากเป็น การใช้ iPhone เพื่อทำงาน ก็จะต้องซื้อหาอุปกรณ์เสริมมาใช้ ซึ่งมีหลายชิ้น และราคาค่อนข้างสูง

 

แต่ละคนจะมีจุดประสงค์ในการใช้งานมือถือ iPhone ต่างกันไป สำหรับมือใหม่ที่กำลังมองหามือถือรุ่นนี้มาไว้ใช้งาน หรือได้ มาไว้ในครอบครองแล้ว ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อ เลือกใช้อุปกรณ์เสริม จำเป็นต้องศึกษาให้ดีเสียก่อน เพราะอุปกรณ์เสริมมี ราคาสูง ความผิดพลาดในการเลือก หมายถึงเงินที่จะต้องเสียไปหลักร้อย หลักพันบาท มือถือก็แพงอยู่แล้ว แต่อุปกรณ์เสริมแต่ ละชิ้นต่างมีราคาสูงด้วยเช่นกัน

 

 

อุปกรณ์เสริมสำหรับการใช้งานทั่วไป

การใช้งาน iPhone ในเรื่องทั่วไป เช่น รับสาย โทรออก ใช้ Line เฟสบุ๊ค อ่านข่าว ดูวิดีโอ Youtube ใช้มือถือเพื่อความบันเทิง อุปกรณ์เสริมอาจจะไม่มีอะไรมากนัก มักจะมีค่าใช้จ่ายไม่มาก เช่น
1. เคสปกป้องมือถือ อุปกรณ์ตัวนี้สำคัญ และจำเป็น เพื่อช่วยปกป้องเครื่อง ไม่ให้เกิดริ้วรอยรอบเครื่อง เคสมีหลายแบบ แนะนำ ให้เลือกแบบมีฝาปิด แต่ต้องหมั่นถอดมือถือออกมาทำความสะอาด
2. ฟิล์มปกป้องหน้าจอ ป้องกันหน้าจอเป็นรอย หรือ ร้าว แตก
3. พาวเวอร์แบงก์ เอาไว้สำรองข้อมูล

 

อุปกรณ์เสริมสำหรับการทำ iPhone ทำงาน

สำหรับการใช้ iPhone เพื่อทำงาน หรือ ทดสอบการใช้งาน หรือใช้งานเฉพาะทาง จำเป็นจะต้องซื้ออุปกรณ์เสริม ซึ่งจะมี ราคาถูกหรือแพงมากน้อยต่างกันไป ตัวอย่างเช่น

แป้นพิมพ์บลูทูธ

กรณีจะต้องพิมพ์งานผ่านมือถือ iPhone อาจจะใช้แอป Page, Docs, Word หรือจะต้องแชทคุยกับลูกค้า จัดการข้อความ ต่างๆ ในมือถือ ก็สามารถทำได้ด้วยแป้นพิมพ์แบบนี้ หาซื้อได้ในราคาหลักร้อยบาทขึ้นไป

 

เมาส์บลูทูธ

การใช้เมาส์แบบนี้ เหมาะสำหรับการใช้แอปที่มีคำสั่ง ปุ่ม ไอคอนที่มีขนาดเล็ก เช่น การตัดต่อวิดีโอ การใช้แอป อย่างพวก Excel เมาส์แบบนี้ราคาแพงกว่าเมาส์ปกติทั่วไป ประมาณ 200 บาท ขึ้นไป เป็นเมาส์ที่ไม่ต้องมีตัวรับสัญญาณ เหมือนแบบที่ใช้ กับคอมพิวเตอร์

 

ตัวแปลงพอร์ต Lightning เป็นรูแจ็ค 3.5 มม.

ใน iPhone ตั้งแต่ 7, 8, เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน (13) จะใช้พอร์ตและหูฟังแบบพอร์ต Lightning ใช้กับหูฟังที่ใช้แจ็ค 3.5 มม. ไม่ได้ ดังนั้น จำเป็นจะต้องซื้อตัวแปลงเอาไว้ฟังเพลง กับหูฟังส่วนใหญ่ ปกติหูฟังแบบนี้ ก็จะแถมมากับมือถืออยู่แล้ว ยกเว้นมือ ถือมือสอง เครื่องเก่า อาจจะไม่มีแล้ว มีแต่ตัวเครื่อง สายชาร์จ หัวชาร์จ อุปกรณ์ตัวนี้ราคาค่อนข้างสูง เกิน 300 บาท ขึ้นไป

 

คนธรรมดาทั่วไป อาจจะไม่ซื้อ ไม่มีความจำเป็น เพราะมีหูฟังพอร์ต Lightning อยู่แล้ว ไม่จำเป็น แต่คนทำงานด้านวิดีโอ ต้องใช้มือถือถ่ายวิดีโอ อัดเสียง จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์ตัวนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไมค์ส่วนใหญ่จะเป็นแจ็ค 3.5 ต้องมี ตัวแปลงแบบนี้

 

ไมค์สำหรับบันทึกเสียง ถ่ายวิดีโอ

การทำงานด้านเสียง วิดีโอ จะต้องมีไมค์ อุปกรณ์ตัวนี้ราคาไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งก็มีทางเลือก 2 แบบด้วยกัน ไมค์ใช้พอร์ต Lightning กรณีใช้ iPhone 7 ถึงรุ่นล่าสุด ใช้พอร์ต Lightning ดังนั้น จะต้องเลือกซื้อไมค์ที่รองรับพอร์ตแบบนี้ ไมค์คุณภาพดีราคาหลักพัน บาท ซึ่งมีทั้งไมค์แบบหนีบ ไมค์ไร้สาย จำเป็นต้องใช้งานแบบใด ก็เลือกซื้อให้ตรงตามความต้องการได้เลย วิธีนี้อาจจะช่วย ประหยัดเงิน แต่หากจะต้องใช้ไมค์หลายแบบ ก็จะต้องเสียเงินอย่างมาก ตัวอย่างเช่น
1. ไมค์แบบหนีบ Lavalier MicroPhone ไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไร แต่รุ่นนี้ เสียงก็พอใช้ได้ กรณีจะต้องวางมือถือห่างจากปาก ก็ยังใช้ ไมค์หนีบคอเสื้อ อกเสื้อ ช่วยให้เสียงที่บันทึก หรือ ถ่ายวิดีโอ ยังคงดัง ฟังชัด
2. หากจะต้องทำวิดีโออย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก็ควรเลือกไมค์หนีบยี่ห้อที่นิยมกัน และมีคุณภาพเสียงที่ไว้ใจได้ เช่น BOYA, Saramonic ราคาสูงหน่อยเกิน 1000 บาท แต่ใช้ตัวเดียวจบ จะรีวิวสินค้า ทำกิจกรรม
3. ไมค์แบบไร้สาย ไมค์แบบนี้มีราคาสูงเช่นกัน เหมาะสำหรับการถ่ายทำวิดีโอสอน สาธิต ทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งไม่สะดวกในการ ใช้ไมค์แบบสาย

 

การลงทุนกับไมค์แบบ Lightning จะต้องจ่ายเงินอีกประมาณ 1000 บาท เป็นอย่างน้อย หรือหลายพันบาทกรณีใช้ไมค์แบบ ไร้สาย สำหรับไมค์ที่มีคุณภาพเสียงที่ดี ผู้เขียนได้ซื้อตัวนี้มาลองใช้กับ iPhone 7 คุณภาพเสียงก็พอได้ แต่ไม่ดีเท่า BOYA BY M1 ก็ใช้วิธีนำวิดีโอที่ได้ไปปรับแต่งเสียงให้ดีขึ้น ประหยัดเงิน แต่ก็ทำให้เสียเวลาทำงาน


ไมค์แบบแจ็ค 3.5 ไมค์แบบนี้จะมีมากในท้องตลาด แต่ใช้กับ iPhone รุ่นใหม่ หรือตั้งแต่ iPhone 7 เป็นต้นมา ไม่ได้ จำเป็นจะต้องซื้อตัวแปลง Lightning เป็นแจ็ค 3.5 มม. เพื่อใช้กับไมค์แบบนี้
1. ตัวอย่างไมค์แบบ Lightning ใน iPhone 7 เป็นต้นมา จะไม่มีรูแจ็ค 3.5 มาให้
2. ตัวอย่างไมค์แบบแจ็ค 3.5 มม.


3. การใช้งานกับไมค์แบบแจ็ค 3.5 จำเป็นจะต้องมีตัวแปลง Lightning เป็นรูแจ็ค 3.5 มม. ราคาประมาณ 300 บาท ขึ้นไป
4. ตัวอย่างไมค์แบบแจ็ค 3.5 มม. ราคาประมาณ 200 บาทขึ้นไป แต่มีตัวเลือกหลายแบบให้เลือกใช้ได้ตามลักษณะงานที่จะ ต้องบันทึกเสียง

 

การลงทุนกับไมค์แบบ Lightning จะต้องจ่ายเงินอีกประมาณ 1000 บาท เป็นอย่างน้อย และจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก จะต้องใช้ไมค์ตัวนั้น แต่กรณีใช้ตัวแปลง Lightning เป็นแจ็ค 3.5 ราคาประมาณ 400 บาท ก็ยังมีตัวเลือกให้ใช้ไมค์แบบอื่นได้ อีกหลายแบบ แม้ราคาแพงกว่า แต่ประโยชน์ในการใช้งานจะยืดหยุ่นมากว่า ใช้งานได้หลายแบบ ดังนั้นจะเลือกแบบใดจึงต้อง คิดให้รอบด้าน

การลงทุนกับไมค์ ไม่ว่าจะใช้แบบใด ก็จะมีค่าใช้จ่ายหลักพันบาท หรือหลายพันบาทตามแต่คุณภาพไมค์ที่เลือกใช้ โดย เฉพาะการคัฟเวอร์เพลง ร้องเพลง เรื่องของไมค์และอุปกรณ์อื่นเพิ่มเติมอาจจะมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นบาท

 

อะแดปเตอร์ OTG

สำหรับผู้ใช้ iPhone ที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลน้อย 16 GB 32 GB และต้องใช้มือถือถ่ายวิดีโอบ่อยๆ พื้นที่จะเต็มเร็วมาก ดังนั้น อุปกรณ์เหล่านี้จำเป็นจะต้องมี เช่น Ligntning OTG ซึ่งจะช่วยให้สามารถก็อปปี้ข้อมูลไปไหว้ในแฟลชไดรฟ์ได้ เพื่อสำรองข้อมูล ต่อเมาส์ ต่อคีย์บอร์ด หรือนำข้อมูลจากที่อื่นมาใช้ได้

 

ตัวอ่านการ์ด

สำหรับผู้ที่จะต้องตัดต่อวิดีโอ และใช้กล้องแอคชันแคม การถ่ายโอนข้อมูลจากกล้องไปมือถือ iPhone จะใช้การถอดเมมโมรี การ์ด ไปถ่ายโอนไฟล์ ผ่านตัวอ่านการ์ด อุปกรณ์ตัวนี้มีราคาสูงอยู่เหมือนกัน เพราะจะต้องซื้อทั้งการ์ด และ ตัวอ่านการ์ด

 

แฟลชไดรฟ์แบบ Lightning

สำหรับผู้ใช้ iPhone ที่ใช้ความจุน้อย 16 GB 32 GB และใช้มือถือถ่ายวิดีโอบ่อยๆ จะทำให้พื้นที่เต็มเร็ว การใช้แฟลชไดรฟ์ แบบ Lightning เป็นวิธีสำรองข้อมูลที่ง่าย เสียบกับ iPhone แล้วก็อปปี้รูปภาพ และ วิดีโอออกมาได้เลย การใช้อุปกรณ์แบบนี้มี ทางเลือก 2 แบบ
1. Lightning แฟลชไดรฟ์ แบบ 2 in 1 จะมีพอร์ต USB ด้วย จะสามารถก็อปปี้ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ หรือ มือถือแอนดรอยด์ได้ ผ่าน OTG
2. อีกทางเลือกที่ประหยัดกว่า และยืดหยุ่นกว่า นั่นก็คือการใช้ Lightning OTG กับแฟลชไดรฟ์ วิธีนี้ดีกว่า วิธีแรก เพราะเรา สามารถซื้อแฟลชไดรฟ์เพิ่มได้ ตามต้องการ แต่วิธีแรก เต็มแล้วก็ต้องซื้อใหม่ แพงกว่า

 

 

อุปกรณ์ช่วยถ่ายภาพ ขาตั้งมือถือ รีโมท

iPhone มีกล้องที่ถ่ายรูปได้สวย ดังนั้น ขาตั้งมือถือ ไม้เซลฟี่ และรีโมทควบคุมการกดถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ จึงเป็นอุปกรณ์ที่จะ ต้องมี
1. ขาตั้งมือถือ ราคาเริ่มต้น 100 กว่าบาท
2. รีโมทชัตเตอร์บลูทูธ ราคาประมาณ 30 บาท ใช้กดถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ และควบคุมระดับเสียงดัง เบา ได้

 

เลนส์ใช้กับกล้อง iPhone

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ กล้องเสริมสำหรับกล้องของ iPhone เช่น กล้องถ่ายเลนส์มาโคร เลนส์ Wide เลนส์ ถ่ายภาพบุคคล เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นจะต้องใช้ เพื่อให้ผลงานดูดีขึ้น

 

สรุป

iPhone เป็นมือถือที่มีราคาสูง หากเน้นใช้งานทั่วไป จะไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องอุปกรณ์เสริมมากนัก อาจจะมีแค่เคส กับ ฟิล์ม ก็แค่นั้น แต่หากเน้นการทำงานเฉพาะทาง จะต้องใช้อุปกรณ์เสริมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเรื่องการถ่ายภาพ ตัดต่อวิดีโอ จึง ต้องวางแผนและศึกษาให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เสียเงินเปล่า

 

และนอกจากอุปกรณ์เสริมแล้ว กรณีมีไฟล์ต่างๆ ที่จะต้องใช้งานร่วมกัน การใช้ iPhone จะเป็นจุดด้วย เมื่อเทียบกับมือถือ หรือแท็บเล็ตแอนดรอยด์ ซึ่งจะสามารถก็อปปี้ไฟล์เข้าออก แชร์ไฟล์ให้กันได้อย่างอิสระมากกว่า iPhone ก็ทำได้ แต่มีค่าใช้จ่าย สูงกว่า ต้องใช้ระบบเดียวกัน อะไรๆ ก็จะง่าย ข้ามค่ายเมื่อไร จะค่อนข้างยาก

 

สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุด ก็ต้องดูว่า iPhone นั้นเหมาะกับสไตล์การทำงาน การใช้ชีวิตของเราหรือไม่ สำหรับผู้เขียน มันไม่ เหมาะ แค่ต้องการหามาใช้เพื่อศึกษาระบบ ศึกษาการทำงานของแอป หรือทดสอบในสิ่งที่อยากจะรู้ ทดสอบการใช้งานกับ คอมพิวเตอร์ กับมือถือระบบอื่น อย่างเครื่องนี้ เป็นรุ่นเก่า iPhone 7 ซื้อมา 4835.- แต่อุปกรณ์เสริมหมดไปเกือบพันบาทแล้ว เพราะไม่วางแผนและศึกษาให้ดีเสียก่อน