ความหมาย : สำนวนนี้ ใช้พูดถึงสถานการณ์ที่อันตราย หรือกำลังอยู่ในช่วงหรือสถานที่ที่อันตราย อยู่ ในช่วง หน้าสิ่วหน้าขวาน จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง มีสติใจเย็น จะทำอะไรต้องมีความรอบคอบ ซึ่งอาจจะเป็นช่วงสงคราม การก่อการร้ายหรือเกิดภัยธรรมชาติ
ตัวอย่าง :
เมื่ออยู่ในสถานการณ์อันตรายที่มีการก่อการร้าย ต่อสู้ยิงกัน ใน หน้าสิ่วหน้าขวาน เช่นนี้ มีแต่อันตรายรอบด้านอย่างนี้ ต้องใจเย็นตั้งสติหาที่หลบกำลังให้ดีอย่าวิ่งพล่าน เพราะอาจได้รับอันตราย
การอยู่ในสถานการณ์ ชุลมุนวุ่นวาย มีการยกพวกตีกันทำร้ายกันในช่วง หน้าสิ่วหน้าขวาน แบบนี้ ต้องมีสติ หากไม่เกี่ยวข้อง ก็ต้องอยู่นิ่งๆ หาที่กำบังหรือหลบเลี่ยงหลบหลีก ให้ห่างจากจุดที่มีการปะทะกัน การวิ่งหนีก็ต้องระวัง เพราะอาจถูกเข้าใจว่า เป็น ผู้เกี่ยวข้องมีโอกาสถูกทำร้ายได้เช่นกัน
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายสิ่งสำคัญก็คือ การควบคุมอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีสติใจเย็น ในช่วง หน้าสิ่วหน้าขวาน แบบนั้น หากใจร้อนควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็อาจจะได้รับอันตรายตามมา เช่น นั่งกินข้าวอยู่ข้างทาง แล้วมีคนทะเลาะวิวาทกันอยู่ ใกล้ๆ ก็ต้องควบคุมสติให้ดี อย่าวิ่งหนีเพราะอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกัน แค่หลบหลีกให้มีความปลอดภัย และดูว่า แต่ ละฝ่ายมีอาวุธหรือไม่
ผู้เขียนก็เคยประสบปัญหาในลักษณะนี้ ขณะกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ข้างทาง ก็มีกลุ่มวัยรุ่น ไล่ตีกันผ่านมาใกล้ๆ โต๊ะที่นั่งกิน ข้าวด้วย ความตกใจก็ลุกไปยืนข้างกำแพงทั้งหยิบจานไปด้วย เด็กกลุ่มนั้น ก็มองหน้าแล้วก็ผ่านไป เพราะรู้ว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ อย่างใด ในช่วง หน้าสิ่วหน้าขวาน ความใจเย็นนั้นได้เปรียบ เพราะมีโอกาสช่วยให้รอดพ้น จากอันตรายได้มากกว่า ในขณะที่ บางคน ตกใจก็วิ่งข้ามถนนไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสถูกรถชน