ความหมาย : สำนวนนี้มักจะใช้พูดถึงคนที่มักจะ ฟังเรื่องราวด้านเดียว แล้วก็รีบตัดสินทันที ฟังความข้างเดียว โดยไม่มี การตรวจสอบ สอบถามอีกฝ่ายว่าความจริงเป็นอย่างไร เรื่องแบบนี้มัก จะเกิดขึ้นได้เป็นปกติ หากคนที่เรารับข่าวสารนั้นเป็นพวกเดียวกันหรือ คนพิเศษ คนโปรด หรือคนที่น่าเชื่อถือ

ตัวอย่าง :

เมื่อมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น หรือมีข่าวต่างๆ ที่อาจเป็นเรื่องไม่ดีต่อตัวเอง หรือคนรอบข้างหรือผู้คนในสังคม การรับฟัง หาข้อมูลให้ทุกด้านย่อมดี กว่า การ ฟังความข้างเดียว จากสื่อ จากคน หรือกลุ่มคน หรือแม้แต่คน ในครอบครัว คนสนิท คนรอบตัวเพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะหากมีส่วน เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

การ ฟังความข้างเดียว แม้จะรู้ว่าไม่ดี แต่บางครั้งเราก็เลือกที่จะทำ แบบนี้ โดยเฉพาะคนที่มีอคติกับบางคน บางอย่าง บางสิ่ง เมื่อมีคนพูด ถึงสิ่งนั้นในทางไม่ดี หากไม่ชอบสิ่งนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็อาจจะผสม โรงร่วมวิจารณ์ หรือแสดงความคิดเห็น หรือแสดงคำพูดที่ไม่ดีออกไป ทันที นิสัยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดี

การต้องดูแลผู้คนหมู่มาก เป็นระดับหัวหน้างาน หรือแม้แต่การเป็น หัวหน้าครอบครัวก็ตาม ยามเกิดปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการทะเลาะ เบาะแว้งกัน หรือปัญหาใดๆ ก็ตาม หาก ฟังความข้างเดียว ไม่ฟังจาก ทุกอย่างโดยได้อคติ ก็ยากจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และไม่สามารถให้ความ ยุติธรรมกับใครได้

เรามีเพื่อนหลายคน แต่เพื่อนที่รักมากที่สุด ก็มักจะมีเพียงคนเดียว ในครอบครัวแม้พ่อแม่จะมีลูกหลายคน แต่ลูกที่พ่อหรือแม่รักมากที่สุด ก็มักจะมีแค่คนเดียวเช่นกัน ดังนั้นหากเวลามีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น อย่าง ลูกหลานทะเลาะกัน การ ฟังความข้างเดียว เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเหลี่ยง แต่ก็ต้องรู้ไว้ด้วยว่าจะเกิดอะไรตามมาในอนาคต เช่น ลูกหลานที่ตนรัก มากที่สุด มักจะไม่ใช่คนที่จะสามารถพึ่งพาอะไรได้ หรือคนที่ตัวเองไม่รัก ไม่ให้ความยุติธรรม เพราะมักจะเข้าข้างลูกที่ตัวเองชอบเสมอ ในยาม ลำบาก ลูกหลานก็อาจจะพากันทิ้งไม่สนใจไยดี ความยุติธรรมจึงเป็น เรื่องสำคัญ โดยเริ่มด้วยการฟังความจากทุกฝ่าย ความยุติธรรมเป็น เรื่องสำคัยที่จะต้องเริ่มจากครอบครัว