อุปสรรคหรือสาหตุที่ทำให้คนเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือการทำงาน โดยเฉพาะการทำอาชีพส่วนตัว นอกจากวิธีการทำงาน แล้ว ก็อาจจะมีเหตุมาจากวิธีคิดที่สร้างปัญหา กลายเป็นอุปสรรคทำให้การงาน หรือ ชีวิตติดๆ ขัด ดังตัวอย่าง 13 ความคิดที่จะกล่าวถึง ในบทความนี้

 

แค่เปลี่ยนวิธีคิด บางทีชีวิตหรือการทำงาน กิจการงาน ก็สามารถเดินต่อไปได้ จนประสบความสำเร็จ ตัวอย่างความคิดที่ไม่เข้าท่า ที่ ควรปรับเปลี่ยนตัวเอง หากไม่ต้องการล้มเหลว ต้องปิดกิจการ หรืองานการไม่พัฒนา

 

1. คิดแบบช่าง เน้นค่าจ้างเท่านั้น

ช่างบางคนมีฝีมือในการทำงาน แต่เน้นการทำงาน การรับงาน ที่ต้องการรายได้จากค่าจ้าง ค่าแรง งานจบแล้ว ก็ได้ค่าจ้าง แต่ไม่ชอบ งานประเภทที่เป็นการสร้างผลงาน สร้างสินค้าของตัวเอง เพราะกว่าจะขายได้ เสียเวลา ได้เงินช้าเกินไป อย่าบางคนเก่งงานเหล็ก งานเชื่อม ซึ่งก็มีสินค้ามากมายหลายอย่างที่สามารถผลิตเพื่อจำหน่ายเองได้ เพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด ก็เท่านั้นเอง การมีสินค้าเป็นของตนเอง สินค้าอาจ จะขายได้ ทุกวัน มีรายได้ทุกวัน แต่การรับงาน อาจจะไม่มีเข้ามาทุกวัน จึงเป็นความเสี่ยงหากทำงานอิสระ งานส่วนตัว

 

2. เน้นของฟรี ใช้ของฟรีทำธุรกิจ

การเน้นของฟรี ไม่มีการลงทุน ก็ย่อมจะติดๆ ขัดๆ ไม่สามารถทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้มากนัก อย่างบางคนที่เน้นจอดรถขายสินค้า ข้างทาง ทำเลดี และ ฟรี แต่ก็จะไม่สามารถขยายกิจการให้ใหญ่โตไปกว่านั้นได้ เพราะไม่ใช่ที่ของตัวเอง และหากร้านได้รับความนิยม ก็ จะกลายเป็นปัญหาทำให้ไม่สามารถขายต่อไปได้ เพราะรถจอดมาก ก็ขัดขวางการจราจร

 

ปัจจุันเรานิยมทำมาค้าขายออนไลน์ ขายสินค้าผ่านเฟสบุ๊คบ้าง IG บ้าง ของฟรีเหล่านี้ ก็ย่อมจะไม่สามารถทำให้เราเติบโตได้มากอย่าง ที่ควรจะเป็น เพราะเป็นการใช้ทรัพยากรของคนอื่น อาจจะมีปัญหาในสักวัน จึงควรทำเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

 

3. การนำผลกำไรไปใช้จ่ายผิดทาง

เมื่อทำกิจการไปได้ดี มีกำไร หลายคนก็จะมีความคิดที่อาจจะสร้างปัญหาให้กับกิจการ งานที่ทำ ส่งผลกับเงินทุนในการทำงาน อย่าง การซื้อรถยนต์ใหม่ป้ายแดง การถอยรถใหม่ บางคนก็มีรถอยู่แล้ว แม้จะเก่าสักหน่อย ยังใช้งานได้ดี แต่พอเห็นว่ากิจการไปได้ดี ก็รีบ เปลี่ยนรถใหม่ ส่งผลทำให้เงินหมุนเวียนมีปัญหา และอาจจะต้องปิดร้านในที่สุด ซึ่งไม่เพียงแค่นั้น อาจจะต้องขายรถไปด้วยเช่นกัน

 

ไม่ว่าจะทำงานประจำ หรือทำงานส่วนตัว เมื่อกิจการเริ่มต้นไปได้ดี รายได้มากขึ้น อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อรถใหม่ป้ายแดง ควรรอดูสภา นการณ์นานๆ หลายปีก่อน นอกเสียจากจะใช้รถช่วยทำมาหากินโดยตรง มีรถแล้วก็มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เช่น เปิดร้านกาแฟ ช่วงแรกอาจ จะขายหน้าบ้าน หรือมีหน้าร้าน ต่อมาก็ซื้อรถมาทำเป็นร้านกาแฟเคลื่อนที่ เพราะมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถไปจอดรถ ในจุดที่เป็นทำเลที่ดีได้ กรณีอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นการต่อยอดสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น คิดแบบนี้มีโอกาสรุ่ง

 

4. เน้นขายของแพง เน้นกำไรมาก

เน้นขายของแพงๆ ไม่ว่าจะขายอะไรก็ตาม ต้องแพงไว้ก่อน บางคนถือว่าตัวเองอยู่ในทำเลที่ดี ไม่ง้อลูกค้า เป็นวิธีคิดที่อาจจะเป็นการ ทำลายตัวเอง อย่างร้านค้าในท้องถิ่น ลูกค้าก็ย่อมจะบอกต่อกันไป ว่าร้านนั้น ร้านนี้ขายของแพง ลูกค้าในพื้นที่ ก็ย่อมจะไม่เข้าร้าน และยัง บอกต่อๆ กันไป ผลที่ตามมาก็คือ ไม่มีใครกล้าเข้าร้าน ส่วนลูกค้าขาจร เข้ามาแล้ว ก็อาจจะไม่เข้ามาอีก

 

บางร้านอยู่ในทำเลที่ดี ติดถนนใหญ่ แต่ขายสินค้าถูกกว่า ร้านที่อยู่ในทำเลแบบเดียวกัน ก็ส่งผลทำให้สินค้าขายดี แม้จะกำไรน้อย แต่ ขายสินค้าได้มาก ก็ทำกำไรได้มาก การขายสินค้าควรมีทั้งแพงและถูกให้ลูกค้าเลือก ไม่ใช่แพงทั้งร้าน บางคนเน้นขายของเพลงเพราะว่าตัว เองมีหนี้ มีรายจ่ายสูง จึงต้องตั้งราคาสินค้าไว้แพงกว่าร้านอื่น


5. เน้นความต้องการของตัวเองเป็นหลัก ไม่ใช่ความต้องการของลูกค้า

ก่อนตัดสินใจทำธุรกิจ หากวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ลูกค้าต้องการอะไร ก็ผลิต หรือ ให้บริการสินค้าตามนั้น จึงจะมี โอกาสประสบความสำเร็จ แต่สำหรับบางคน โดยเฉพาะคนมีเงิน มีทุน ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน เรื่องที่อยู่อาศัย อาจจะไม่สนใจความต้อง การชองลูกค้า เน้นผลิตสินค้าและบริการตามที่ตัวเองชอบ บางคนถึงขั้นไม่ง้อลูกค้าด้วยซ้ำไป บางคนก็เน้นขายสินค้าในราคาแพงด้วยเช่น กัน ก็ยิ่งเป็นการไล่ลูกค้าทางอ้อม

 

คนที่ทำธุรกิจในลักษณะนี้ ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือร่วมธุรกิจด้วย เสียเวลาถกเถียงกัน หรือปรับเปลี่ยนความคิด เพราะคนกลุ่มนี้ อาจจะไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน บางคนมีบ้าน มีทำเลที่ดี มีเงินเก็บ ไม่เดือดร้อน ขายได้หรือไม่ ก็ได้สนใจ

 

6. มีทุนทำอะไรก็สำเร็จ

นี่คือความเชื่อที่ผิด การมีทุนแล้วประสบความสำเร็จ จะต้องมีความรู้ หากไม่มีความรู้ในงานที่จะทำ หรือความรู้ในการประกอบอาชีพ และความสามารถเฉพาะตัว ก็ยากจะประสบความสำเร็จ เพราะมักจะใช้เงินผิดทาง เช่น ลงทุน ลงเงินก้อนโตไปกับการแต่งร้าน ไปกับ อุปกรณ์ของใช้ในร้าน อย่างการทำร้านกาแฟ บางคนลงทุนหลักล้านบาทไปกับร้าน คนมีเงิน มีทุน ที่ลาออกจากงาน แล้วมาทำงานส่วนตัว บางคนจะคิดและทำแบบนี้ ผลที่ตามมาก็คือ เจ๊ง และ เจ็บ

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำกิจการ หรือทำอะไรก็ตามที่ต้องมีการลงทุนลงเงิน ควรลงมือทำ โดยเริ่มต้นที่เงินทุนน้อยๆ ไปก่อน จนกว่า จะมีความเข้าใจและรู้ว่าควรจะลุงทุนมากๆ ไปกับเรื่องใด อย่างการทำร้านกาแฟ ควรจะลงทุนไปกับการคิดสูตรกาแฟของตัวเองให้ได้ ก่อนจะลงทุนกับการทำร้านสวยๆ เพราะหากร้านสวยแต่กาแฟ รสชาติไม่ผ่าน คนก็ไม่เข้ามาอุดหนุน ร้านก็ไปไม่ได้ เจ๊ง

 

7. คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว หยุดพัฒนาตนเอง

การคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว จึงหยุดพัฒนาตัวเอง ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ย่อมจะส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าของกิจการงาน เพราะทุกวันนี้มี เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา และสิ่งสำคัญก็คือ สิ่งใหม่เหล่านี้ ช่วยให้การทำงาน หรือกระบวนการทำงานบางอย่าง ทำได้ดีขึ้น เร็ว ขึ้น ลดการใช้คน แต่เพิ่มผลกำไรมากขึ้นได้ หากหยุดพัฒนาก็อาจจะแย่ เพราะปรับตัวไม่ทัน แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ คู่แข่งแย่งลูกค้าไป หมดแล้ว

 

8. มองข้ามเงินน้อย รายได้น้อย

บางคนจะมองข้ามรายได้น้อย ดูถูกเงินน้อย เน้นรายได้ใหญ่ๆ คุยกันแต่เงินหลักล้าน บางคนก็เคยมีประสบการณ์เคยทำธุรกิจ ประสบ ความสำเร็จ ทำเงินได้หลักล้าน แต่ความสำเร็จในอดีต อาจจะไม่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรืออนาคตอีกต่อไป เพราะตัวแปร ปัจจัยต่างๆ ไม่ เหมือนกัน เงินเล็ก รายได้เงินน้อย ก็ควรจะหาทางบริหารจัดการ อย่าปล่อยผ่าน

 

บางคนมีบ้านอยู่ในทำเลที่ดี สามารถค้าขายได้ แต่งานหลักจะเกี่ยวกับการขายบ้านและที่ดิน จึงไม่สนใจกิจการร้านค้าของตัวเองมากนัก เพราะมองว่า รายได้น้อย แต่เมื่อไม่สามารถขายบ้านและที่ดินได้ จนเงินเริ่มร่อยหรอ ต้องมายังชีพด้วยเงินจากการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ จึง ได้เริ่มเห็นความสำคัญของเงินน้อย รายได้น้อย

 

การมีรายได้น้อย ต้องดูว่า มีช่องทางต่อยอดได้หรือไม่ อย่างการขายของบางอย่าง อาจจะเป็นร้านเล็กๆ ขายหมูปิ้ง กล้วยปิ้ง เครื่องดื่ม ขายตามตลาดนัด ซึ่งจะมีตลาดในลักษณะนี้หลายแห่ง หากไปเปิดร้านทุกแห่ง ทุกที่ ในแต่ละวัน ก็ย่อมจะทำกำไรได้มาก เพราะมีหลายร้าน หลายที่ ในเวลาเดียวกัน รายได้น้อย แต่รวมกันทุกแห่งแล้วก็จะเป็นรายได้ที่มาก นี่ก็เป็นตัวอย่างการบริหารรายได้น้อยๆ ให้เป็นเงินก้อน ใหญ่

 

9. คิดใหญ่เกินกำลังตัวเอง

การคิดการใหญ่ และทำสิ่งที่ใหญ่เกินกำลังของตัวเอง อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ และยังทำให้เกิดความทุกข์ เพราะในเรื่องการ ประสบความสำเร็จ บางครั้งก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่เกินคาดคิด บางคนคิดว่า ตัวเองเกิดมาในชาติตระกูลดี มีการศึกษา มีทุน มีเพื่อน มีความ สัมพันธ์กับคนหลายระดับที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ จึงคิดการใหญ่ ทำธุรกิจใหญ่ๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะบางอย่างที่ มองไม่เห็น อย่างโชค วาสนาของคนเรานั้น แข่งกันไม่ได้ เพื่อนผู้เขียนบางคนอยู่ดีๆ ก็ได้มรดกหลักล้าน รวยโดยไม่ต้องทำอะไร นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน เลี้ยงลูกไปวันๆ แต่บางคนเครียดแทบตาย แต่ก็ยังหาเงินล้านไม่ได้

 

10. ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่กระจายงาน

การยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่รู้จักวิธีกระจายงาน งานก็จะไม่เดิน หากต้องการความสำเร็จต้องหาคนมาช่วยทำงาน อย่าง การทำเว็บไซต์ทำบทความให้คนเข้ามาอ่านแบบนี้ จะมีรายได้จากโฆษณาที่แสดงในหน้าเว็บไซต์ เมื่อมีรายได้มากขึ้น บางคนก็จะจ้างนัก เขียนมาช่วยเขียนบทความ โดยกำหนดขอบเขตของเงาน หรือ เนื้อหาให้นักเขียน เขียนตามที่ตัวเองต้องการ ก็จะช่วยลดการทำงานลงไป ได้

 

การกระจายงาน หรือ จ้างคนมาช่วย ก็จะมีโอกาสสร้างรายได้แบบไม่ต้องทำงานทุกวันแต่มีเงินใช้ ตัวอย่าง มีรายได้เดือนละ 30,000 บาท ก็แบ่งเงินส่วนหนึ่งประมาณ 10,000 บาท ไปจ้างพนักงานมาช่วยทำงาน ตัวเองก็จะทำงานน้อยลง มีเวลาไปทำงานอื่น มีเวลาพักผ่อน หรือวางแผนงาน พัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น แต่หากต้องทำอยู่คนเดียว ก็ยากจะเจริญก้าวหน้า เพราะไม่มีเวลาคิด หรือปรับปรุงงานที่ทำอยู่ให้ ดีขึ้น เวลาหมดไปกับการทำงานเองทุกอย่าง งานล้นมือ

 

11. ยึดมั่นความคิดของตัวเอง ไม่ยืดหยุ่น กลัวความเปลี่ยนแปลง

ทุกวันนี้ จำเป็นจะต้องปรับกลยุทธในการทำงานอยู่ตลอดเวลา ถ้ายึดติด ยึดมั่นกับวิธีการทำงานแบบเดิม ก็อาจจะไม่รอด ดังนั้นต้อง ยืดหยุ่น พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเอง และพยายามหาจุดอ่อนในกระบวนการทำงานแต่ละอย่าง เพื่อหาช่องทางลดระยะเวลาในการทำงาน หรือลดรายจ่าย อย่างการพิมพ์ข้อความผ่านแป้นพิมพ์ ก็ใช้การพูดแทนการพิมพ์ เพื่อให้โปรแกรมแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ ประหยัด เวลามากกว่า ไม่ต้องเสียเวลาจ้างคนมาคอยพิมพ์เอกสาร เป็นต้น

 

คนที่ยังยึดมั่นกับวิธีคิดแบบเดิมๆ ในการทำธุรกิจ มักจะเป็นคนรุ่นเก่า ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีข้ออ้างสารพัด ผู้เขียนเคยบางคน แนะนำให้ลองใช้ Line ช่วยทำการตลาด โดยเน้นลูกค้าในพื้นที่ด้วยการทำไลน์กลุ่มขึ้นมา แล้วเพิ่มลูกค้าเข้ากลุ่ม เพื่อความสะดวกในการ แนะนำเมนูอาหารใหม่ๆ หรือให้ลูกค้าสั่งอาหารผ่านไลน์ บางคนก็มีไลน์ ให้ลูกค้าติดต่อสั่งอาหาร แต่เวลาลูกค้าสั่ง ไลน์มา ก็ไม่เปิดอ่าน ไม่รับสาย มือถือวางไว้บนโต๊ะ อ้างว่าไม่ว่าง ต้องทำนู่น นี่ เยอะ แต่ก็ไม่พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อปรับใช้ เช่น วางมือถือไว้บนโต๊ะ ไม่สะดวกในการอ่าน ก็เปลี่ยนไปใช้นาฬิกาสมาร์ทแทน ก็จะ สามารถรับข้อมูลได้ อ่านไลน์ได้ ว่าลูกค้าสั่ง หรือสอบถามข้อมูลอะไรบ้าง ไม่ต้องเดินไปหยิบมือถือ แต่ก็อีกนั่นแหละ ยังมีข้ออ้างอื่นๆ ต้องล้างจานทั้งวัน น้ำจะเข้านาฬิกา แต่พอรู้ว่า นาฬิกากันน้ำได้ ก็มีข้ออ้างต่อไปอีกว่า ตัวหนังสือเล็กไป ซึ่งขนาดของตัวหนังสือก็พอๆ กับ มือถือนั่นเอง บลา... ไม่ว่าจะมีข้ออ้างอะไรก็ตาม นั่นก็คือ การหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองในการที่จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือปรับตัว นำเทคโนโลยี่มาใช้ให้ชีวิตง่ายขึ้น

 

12. คิดว่าทุนน้อย ทำอะไรไม่ได้

ในการทำธุรกิจ ทำอาชีพส่วนตัว บางคนก็เริ่มจากเงินทุนน้อยมาก ค่อยๆ ทำ สร้างตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถสร้างธุรกิจให้ใหญ่ โตได้ หากคิดว่ามีทุนน้อย ไม่ยอมทำอะไรเลย ก็จะไม่สามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้ การมีทุนน้อย ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด สำหรับการทำ ธุรกิจในปัจจุบัน มีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จมากมายที่มีรายได้หลักล้านบาท โดยเริ่มต้นจากเงินลงทุนหลักร้อยบาทเท่านั้น

 

เงินทุนนั้น บางทีก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือวิธีคิด วิธีหาเงิน บางคนมีเงินทุนแค่หลักพันก็สามารถทำเงินหลักล้านได้ในเวลาไม่กี่ เดือน สิ่งที่สามารถช่วยได้ สำหรับคนมีทุนน้อย ก็คือต้องเปลี่ยนวิธีคิด ถ้าคิดว่า ทุนน้อยก็สามารถรวยได้ สมองก็จะพยายามคิดหาวิธีรวย แบบต่างๆ และก็อาจจะพบหนทางสู่ความสำเร็จ แต่ถ้าคิดว่า ทุนน้อย ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงหยุดอยู่แค่นั้น ก็จะไม่มีวันก้าวหน้า

 

13. การคิดลบ คิดไม่สร้างสรรค์

การคิดลบ คิดไม่สร้างสรรค์ เป็นอุปสรรคในการพัฒนาตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่พบเจอกับอุปสรรค ก็พยายามคิดในด้านดี ด้านบวก ด้าน ที่สร้างสรรค์ ก็อาจจะพบหนทางใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ เช่น ในช่วงเกิดสภานการณ์โควิด เกิดโรคระบาด บางคนตกงาน เครียด แต่ก็ไม่ ยอมทำอะไร หรือบางคนก็ทำร้ายตัวเอง นั่นคือการคิดลบ คิดในทางไม่ดี และอาจลงมือทำด้วย

 

แต่บางคนคิดบวก คิดดี พอจะมีฝีมือในทางช่าง ก็ใช้ฝีมือ ใช้ความสามารถทำสินค้าขายผ่านเน็ต คิดในด้านดี ว่านี่คือความเปลี่ยนแปลง ที่เตือนให้รู้ว่า งานที่ตัวเองทำอยู่นั้น ก็มีข้อเสีย ที่ทำให้มีโอกาสตกงานได้ ดังนั้น ต้องพัฒนาตนเอง ต้องเปลี่ยนตัวเองนะ ไม่เช่นนั้นใน อนาคตจะต้องลำบากแน่นอน หากคิดอย่างนี้ พร้อมกับลงมือทำ พัฒนาตนเอง อนาคตก็จะไม่ลำบาก แต่หากคิดว่า เกิดโรคระบาด แล้วตก งาน ไม่มีเงิน ก็ไม่ทำอะไร นั่งรอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเดียว ก็จะมีแต่ความทุกข์ เพราะแต่ละวันก็จะต้องมีรายจ่าย

 

สรุป

การที่คนเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือหน้าที่การงานนั้น สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งก็มาจากวิธีคิด ที่ผิด แต่สิ่งที่สำคัญกว่าวิธีคิด ก็ คือ การลงมือทำ การคิดดี คิดในทางสร้างสรรค์ที่จะช่วยให้การงานเจริญก้าวหน้า เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถคิดได้ แต่การลงมือทำนั้นยาก ที่สุด ดังนั้นอย่าเอาแต่คิด แต่ต้องลงมือทำ ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จ