ความหมาย : สำนวนนี้ มักจะใช้พูดถึงคนที่ขี้เกียจหรือแทนความหมายว่าคนนั้นเป็นคนขี้เกียจ หนักไม่ เอาเบาไม่สู้ งานหนักหรืองานเบาก็ไม่เอาสักอย่างเป็นคนขี้เกียจมากคนประเภทนี้ หากไม่เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย ก็จะสร้าง ปัญหา ให้ตัวเอง และคนรอบข้าง อย่างแน่นอน

ตัวอย่าง :

การเกิดเป็นคนบนโลกใบนี้ สิ่งสําคัญ ก็คือ การดูแลตัวเอง พึ่งพาตัวเอง บางคนขยันทำมาหากินก็ได้ดี บางคนขี้เกียจ หนักไม่ เอาเบาไม่สู้ขี้เกียจทำงาน ชีวิตก็ย่อมไม่ประสบความสำเร็จ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามผลการกระทำของแต่ละคน

คนบางคน อาจดูเหมือนว่า เป็นคนเกียจคร้าน หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ไม่ชอบทำงาน แต่จริงๆ แล้วอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น โดย เฉพาะคนฉลาด ซึ่งมักจะใช้เวลาว่างๆ ในระหว่างที่นั่งๆ นอนๆ เหมือนไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้คิดอะไร แต่ในสมองนั้น กำลังคิดหาวิธี ทำงาน หรือวิธีหาเงิน หรือวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่ต้องทำงานทุกวัน ไม่ต้องทำอะไรมากนัก

บางทีอาจไม่ ต้องทำงานเป็นปีก็ยังมีรายได้ไม่เดือดร้อน คนประเภทนี้ ไม่ใช่คนขี้เกียจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อย่างที่คิด แต่เป็นคนที่อยู่นิ่งๆ เพื่อจะใช้สมอง ใช้ความคิด หาวิธีสร้างรายได้ ใช้สมองทำงาน ไม่ได้ใช้ร่างกายทำงานเหมือนคนปกติทั่วไป บางคนนั้นอาจขยันทำงานแค่ไหนช่วงแรก เพื่อหาเงินก้อนมาลงทุน และเมื่อกิจการมีรายได้ ก็จ้างคนอื่นมาบริหารส่วนตัวเอง ก็คอยดูแลอยู่ห่างๆ ศึกษาการทำธุรกิจอยู่ห่างๆ คนไม่รู้จักอาจเข้าใจ ผิดคิดว่าเป็นคนขี้เกียจไม่ทำอะไรเอาแต่อยู่เฉยๆ เพราะบางคนนั้นเวลาทำงานก็ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้

คนที่ดูเหมือนขี้เกียจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่เป็นคนที่รู้จักบริหารเวลา แม้จะใช้เวลาเพียงน้อยนิด แต่ก็สามารถทำงาน ได้มากกว่าบางคนที่ทำงานทั้งวัน หรืออาจจะใช้เวลาเพียงน้อยนิด แต่ก็สามารถสร้างรายได้จากการทำงาน ได้มากกว่าคนที่ทำงานทั้งวัน

ถึงแม้ จะเป็นคนขี้เกียจมาก หนักไม่เอา เบาไม่สู้ แต่บนโลกใบนี้ ก็ยังมี งานที่เหมาะกับตัวเองรองรับหลายอย่างเช่น การเป็น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ยาม รปภ นั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไร หรือนายแบบ รับจ้างนอนเป็นพรีเซ็นเตอร์ขายที่นอน เป็นต้น การหางาน ให้เหมาะสมกับตัวเอง ก็จะทำให้มีรายได้ ได้เช่นกัน