อยากจะได้รถยนต์ไว้ใช้งานสักคัน แต่การเงินยังไม่ดีนัก ช่วงสัก 6-7 ปีแรก รถเล็กประหยัดน้ำมันอย่าง อีโคคาร์ กับ รถไฟฟ้าใหม่ป้ายแดง ค่าใช้จ่ายจะมากน้อยกว่ากันแค่ไหน บทความนี้จะพาผู้อ่านไปวิเคราะห์ คำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ที่พอจะให้คำตอบได้ ว่าเราควรจะใช้รถแบบใด และค่าใช้จ่ายในระยะเวลาที่คิดไว้ จะมากน้อยกว่ากันแค่ไหน

 

ช่วงนี้ (ปลายปี 2023) รถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรง ที่อาจทำให้หลายคนจิตใจหวั่นไหวก็คือ ค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้าจะน้อยกว่าค่าน้ำมันอย่างมาก จากที่เคยจ่ายค่าน้ำมันหลักหมื่นต่อเดือน อาจจะเหลือแค่ไม่กี่พันบาทเท่านั้นเอง แต่สำหรับคนที่ยังมีรายได้ไม่มาก ยังไม่พร้อม กับรถยนต์ไฟฟ้า ที่ยังคงมีราคาแพง ก็ยังมีตัวเลือกอย่างรถอีโคคาร์มือสอง เผื่อไว้ใช้งานไปสัก 5-6 ปี เงินเดือน รายได้ เงินเก็บเริ่มมากขึ้น ก็เริ่มขยับขยายเปลี่ยนรถ เป็นต้น

ในบทความความนี้ก็จะพาผู้อ่านไปลองเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกันเล่นๆ สมมุติว่า อยากจะหารถน้ำมัน อีโคคาร์มือสองมาไว้ใช้งานสัก 5-6 ปี เปรียบเทียบกับการผ่อนรถไฟฟ้าสัก 5-6 ปีเช่นกัน ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะมากหรือน้อยกว่ากันแค่ไหน

 

รถอีโคคาร์มือสอง

ตัวเลือกสำหรับรถอีโคคาร์มือสอง ไม่ควรมีราคาสูงเกิน 200,000 ยิ่งน้อยจะยิ่งดี และต้องเน้นซื้อเงินสด ถ้าผ่อน ก็ต้องดาวน์ให้มากที่สุด เพื่อให้ผ่อนน้อยๆ
1. Suzuki Celerio รถราคาไม่ถึง 200,000 ยังหารถสภาพดีได้


2. Mitsubishi Mirage


3. Nissan March

 

ทำความเข้าใจกันก่อน

รายจ่ายที่เกิดขึ้นจากรถยนต์จะมีมากกว่านี้ การคำนวณยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ผู้อ่านที่ต้องการคำนวณให้ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงที่สุด ก็ต้องค้นหาข้อมูลรายจ่ายเพิ่มเติมให้มากที่สุด แล้วนำมาคำนวณ บวกเพิ่มเข้าไป ก็จะได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด

 

วิธีคำนวณอัตรากินน้ำมันของรถยนต์

เมื่อเลือกรถที่ต้องการได้แล้ว คราวนี้ก็ลองคำนวณค่าน้ำมันว่ารถยี่ห้อ และรุ่นนั้นๆ กินน้ำมัน กิโลเมตรละกี่บาท เพื่อจะนำข้อมูลส่วนนี้ไปคำนวณรายจ่ายทั้งหมดเพื่อเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้า
1. ค้นหาใน Google เช่น suzuki celerio กินน้ำมันกิโลเมตรละกี่บาท
2. ในผลการค้นหาเช่น การทดสอบของเว็บไซต์ HeadLight Magazine ได้ 20.31 กิโมเลตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร
3. วิธีคำนวณ ให้ดูว่า น้ำมันที่ใช้นั้น ลิตรละกี่บาท สมมุติว่า น้ำมันลิตรละ 40 บาท ก็นำ 40 หาร 20.31 ได้ 1.96 ก็ประมาณ 2 บาท ต่อกิโลเมตร


4. วิธีคำนวณค่าน้ำมันต่อวัน เช่น ขับรถวันละ 100 กิโลเมตร ค่าน้ำมันจะประมาณ 2 x 100 = 200 บาท
5. วิธีคำนวณค่าน้ำมันต่อเดือน ขับรถวันละ 100 กิโลเมตร ค่าน้ำมัน 200 x 30 = 6,000 บาท
6. วิธีคำนวณค่าน้ำมันต่อปี ขับรถวันละ 100 กิโลเมตร ค่าน้ำมัน 200 x 365 = 73,000 บาท
7. ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 1 บาท ใช้รถวันละ 100 กิโลเมตร ค่าชาร์จไฟจะไม่เกิน 100 บาทต่อวัน หรือน้อยกว่านี้

 

ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรถอีโคคาร์มือสองกับรถไฟฟ้า

ผู้เขียนได้จัดทำไว้ 2 แบบด้วยกัน คือรถไฟฟ้าที่มีราคาถูกที่สุด เช่น Neta V 2023 และราคาแพงมากขึ้นอย่าง BYD Dolphin ส่วนค่าใช้จ่ายจริงๆ มากกว่านี้ มีรายจ่ายแฝงอีกหลายรายการ แค่เอาแค่นี้ก็พอจะช่วยให้มองเห็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นได้
1. รถอีโคคาร์ : ราคาไม่เกิน 200,000 บาท กรณีผ่อนก็ต้องดาวน์ให้มาก ผ่อนน้อยๆ
2. รถไฟฟ้า Neta V 2023 ราคา 549,000 บาท โดยมีอัตราเงินดาวน์ 20% 109,800 บาท

3. รถอีโคคาร์ ค่าผ่อน รถมือสอง ไม่ควรซื้อเงินผ่อน หรือ ถ้าจะต้องผ่อนก็ต้องดาวน์ให้มากที่สุด ส่วนใครจะผ่อน ก็คำนวณได้ตามตารางนี้
4. รถไฟฟ้า ผ่อน 6 ปี 72 เดือน เดือนละ 7,085 บาท ผ่อน 1 ปี 85,000 บาท และรวมค่าผ่อน 6 ปี 510,120 บาท

5. รถอีโคคาร์ ค่าประกันภัย รถน้ำมันมือสองเหล่านี้ ค่าประกันจริงๆ จะน้อยกว่านี้
6. รถไฟฟ้า ค่าประกันภัยแพง รวมค่าประกันภัย 6 ปี 168,000 บาท

7. รถอีโคคาร์ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าโอน ค่าดำเนินการ อื่นๆ เมื่อซื้อรถครั้งแรก จริงๆ ก็ไม่มากขนาดนี้
8. รถไฟฟ้า สำหรับการผ่อนก็มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม เช่นกัน

9. รถอีโคคาร์ ค่าบำรุงรักษา รถมือสองซื้อมาแล้ว ต้องซ้ำบำรุงชุดใหญ่ ก็จะได้รถที่มีสภาพสมบูรณ์ เหมือนรถใหม่ ก็เผื่อค่าซ่อมประมาณนี้ ก็เหลือเฟือ
10. รถไฟฟ้า สำหรับรถไฟฟ้าค่าบำรุงรักษาจริงๆ จะมากกว่านี้ สมมุติว่า แค่นี้ก็แล้วกัน

11. รถอีโคคาร์ ค่ำน้ำมันจะต้องคำนวณค่าน้ำมันต่อ 1 กิโลเมตรให้ได้เสียก่อน เช่น กิโลเมตรละ 2.5 บาท ขับรถวันละ 100 กิโลเมตร จากนั้นก็จะไปคำนวณหาค่าน้ำมันใน 1 ปี คูณ 365 วัน ได้ 91,250 บาท ก็นำไปคูณกับระยะเวลา 6 ปี ได้ 547,500 บาท รถน้้ำมันจะมีค่าใช้จ่ายสูง แพงก็เพราะค่าน้ำมันนั่นเอง ดังนั้นหากใช้รถมาก วันละหลายร้อยกิโลเมตร ก็มองข้ามรถน้ำมันไปได้เลย ไม่คุ้มแน่นอน
12. รถไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าไม่แพง สมมุติว่า 0.75 สตางค์ต่อ 1 กิโลเมตร ใช้รถวันละ 100 กิโลเมตร ค่าไฟฟ้าประมาณ 75 บาท ก็นำไปคำนวณรายจ่ายต่อปี และรวม 6 ปี เช่นได้ 164,250 บาท ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ประหยัดกว่าค่าน้ำมันอย่างมาก ดังนั้นหากขับรถมาก เน้นใช้รถทำมาหากิน ติดต่อลูกค้า รถน้ำมันจะช่วยให้มีเงินเหลือ

13. รถอีโคคาร์ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด นำราคารถ + ประกันภัย 6 ปี + รายจ่ายอื่นๆ + ค่าซ่อมบำรุง + ค่าน้ำมัน 6 ปี ประมาณ 915,500 บาท
14. รถไฟฟ้า ในขณะที่รถไฟฟ้า รายจ่ายทั้งหมด นำเงินดาวน์ + เงินผ่อน 6 ปี + ประกันภัย 6 ปี + รายจ่ายอื่นๆ + ค่าซ่อมบำรุง + ค่าน้ำมัน 6 ปี ประมาณ 972,170 บาท

15. ในช่วงประมาณสัก 6-7 ปี แรก สำหรับรถอีโคคาร์ ผู้เขียนมั่นใจว่า ค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมดน้อยกว่า รถไฟฟ้า แต่หากเกิน 7-8 ปีขึ้นไป รถไฟฟ้าจะเริ่มประหยัดเงินมากขึ้น และประหยัดมากกว่าหลังเกิน 10 ปีขึ้นไป

 

จากตาราเปรียบเทียบ หากมีความต้องการใช้รถในระยะเวลาประมาณ 5-8 ปี รอให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น หรือใครที่ใช้รถไม่มาก ไม่เกิน 50-60 กิโลเมตร ต่อวัน รถอีโคคาร์มือสองราคาไม่เกิน 200,000 บาท ก็ช่วยประหยัดเงินได้ โดยเฉพาะหากขับน้อยกว่านี้ รถไฟฟ้าอาจจะไม่จำเป็น แต่หากเน้นขับมากกว่านี้ เกิน 100 กิโลเมตรต่อวัน หรือ ต้องใช้รถขับทำมาหากินแล้วแล้ว ก็คงต้องมองข้ามรถน้ำมันไปได้เลย

 

สิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจเลือก จะต้องถามรู้จักตัวเองให้ดีเสียก่อน ใช้รถเพื่ออะไร เดินทางวันละกี่กิโลเมตร เมื่อรู้จักตัวเองดีแล้ว ก็ตัดสินใจเลือกให้ตรงกับความต้องการใช้งาน ไม่เช่นนั้นก็ไม่คุ้ม อย่างเพื่อนผู้เขียนใช้รถมา 7 ปี วิ่งไป 3 หมื่นกว่ากิโลเมตร เฉลี่ยประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร ต่อวัน แบบนี้ รถน้ำมันคุ้มกว่า เน้นใช้ไปซื้อของ ทำธุระ นอกเหนือจากนั้นใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นหลัก

 

ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรถอีโคคาร์มือสองกับรถไฟฟ้า BYD Dolphin

เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรถรถอีโคคาร์มือสองกับรถไฟฟ้าที่มีราคาแพงมากขึ้น ในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี จะเห็นความแตกต่างมากขึ้น ค่าใช้จ่ายต่างกันหลักแสน
1. ตัวอย่างรถไฟฟ้า BYD Dolphin ที่มีราคาแพงมากขึ้น 699,999 บาท
2. เมื่อคำนวณเล่นๆ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว รถไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายแพงกว่าหลายแสน
3. กรณีใช้รถค่อนข้างมาก ในระยะเวลาหลัง 10 ปี รถไฟฟ้า มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าแน่นอน
4. แต่กรณีใช้รถไม่มาก ไม่ถึง 100 กิโลเมตรต่อวัน รถน้ำมันก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ทั้งประหยัดและสะดวกในการเติมน้ำมัน

 

สรุป

สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์ไว้ใช้งานสักคัน ช่วงนี้ทั้งรถน้ำมันหลายๆ รุ่น ราคาก็ตกลงมาอย่างมาก ส่วนรถไฟฟ้าก็มีต้วเลือกที่น่าสนใจ แต่ก่อนจะเลือกรถแบบใด ก็ลองนำวิธีการคำนวณข้างต้นไปใช้ดูก่อน เพื่อจะได้เลือกให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะรถแต่ละแบบก็เหมาะสำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น ตัวอย่างเช่น

 

รถน้ำมัน อีโคคาร์มือสอง

สำหรับคนใช้รถน้อย แต่ต้องมีไว้เผื่อขับไปทำธุระบ้าง อาจจะไม่บ่อย ก็มีรถช่วยกันฝน กันแดด ใช้รถเป็นบ้านหลังที่ 2 นอนในรถก็ได้ หรือขับไปทำงานแต่ไม่ไกล วันละไม่กี่สิบกิโลเมตร รถน้ำมันขนาดเล็กเหล่านี้ คุ้มกว่า ประหยัดเงินมากกว่า หาที่เติมน้ำมันได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้า ที่ชาร์จยังไม่เพียงพอ และหากมีคนใช้รถไฟฟ้ามากกว่านี้ ก็คงจะสร้างปัญหาอย่างแน่นอน

 

แต่ก่อนตัดสินใจเลือกรถน้ำมันสักคัน ต้องเน้นรถเล็กประหยัดน้ำมันเท่านั้น ก่อนจะตัดสินใจซื้อคันไหน ต้องคำนวณอัตราการกินน้ำมันเสียก่อน กิโลเมตรละกี่บาท รถใหญ่ หรู ดูดีมีภาพลักษณ์ ไม่แพง แต่กินน้ำมันต้องหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด ในวันหนึ่งที่จะต้องขาย รถเหล่านี้จะขายยาก ยิ่งรถไฟฟ้าเริ่มได้รับความนิยม ยิ่งขายยากมากกก

 

รถไฟฟ้า

รถไฟฟ้าแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่หลัง 10 ปี ผ่านไป จะคุ้มค่าอย่างแน่นอน เพราะค่าไฟฟ้าถูกกว่าค่าน้ำมันอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางในระยะทางไม่ไกล ติดต่ทำธุระในพื้นที่ที่อยู่อาศัย เช่น เดินทางรวมว้นละไม่เกิน 300 กิโลเมตร และสามารถชาร์จที่บ้านได้ ก็ถือว่าคุ้มมาก ไม่ต้องเสียเวลาไปชาร์จตามปั๊ม ไม่ต้องรอคิว หรือแย่งคิวกับใคร

 

หากน้นใช้รถทำมาหากิน ขับมาก รถไฟฟ้าคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างมาก คิดแค่ว่า เอาค่าน้ำมันมาจ่าย มาผ่อนรถไฟฟ้า แค่นี้ก็คุ้มแล้ว ได้รถไว้ช่วยสร้างรายได้