แบตเตอรี่ของมือถือแอนดรอยด์มีโอกาสเกิดปัญหาจากการใช้งานเครื่องประจำวัน บทความนี้จะมาแนะนำปัญหาต่างๆ ที่มักจะพบเจอ และแนวทางแก้ไขปัญหาเองเบื้องต้น ก่อนจะพาไปหาช่าง หรือ ร้านซ่อมมือถือ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ร้านจะเรียกเท่าไร บางทีก็ต้องจ่าย ดังนั้นแม้จะทำเองไม่เป็น ก็ขอแค่ให้รู้ว่าปัญหาคืออะไร ค่าใช้จ่ายจะมากน้อยแค่ไหน
แบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญของมือถือแอนดรอยด์ การใช้งานแบบขาดความรู้ ก็ย่อมจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่เรามักจะพบเจอ ก็มีหลายอย่าง เช่น
ปัญหา 1
แบตเตอรี่บวม
เป็นอาการของแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม หากเป็นแบตเตอรี่แท้อาจจะใช้เวลาหลายปี กว่าจะเสื่อม ซึ่งเมื่อเริ่มเสื่อมก็จะบวม ดันจอหรือดันฝาหลังให้โป่งนูน วิธีสังเกตุ ให้ดูด้านฝาหลัง หรือจอจะนูน ให้สังเกตุได้
แนวทางแก้ปัญหา
เมื่อแบตเตอรี่เริ่มบวม เครื่องป่องทั้งหน้าจอ หรือฝาหลัง ก็ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้แล้ว
ปัญหา 2
แบตเตอรี่หมดเร็ว ตัวเลข % ลดลงอย่างรวดเร็ว
มือถือที่แบตเตอรี่ยังคงสภาพดี ตัวเลข % จะลดลงช้ามาก บางเครื่องทั้งวัน ลดลงไม่ถึง 5% แต่หากเริ่มลดลงมากๆ หลังจากได้ชาร์จ 100% เต็มเอาไว้ หรือตัวเลข % ไม่ตรง หรือลดลงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็แสดงว่า แบตเตอรี่เรื่มเสื่อม
แนวทางแก้ปัญหา
ให้ตรวจสอบดูว่ามีแอปใดใช้แบตเตอรี่มากผิดปกติหรือไม่ ทดลองปิดเน็ต ปิดไวไฟ หรือปิดคลื่นวิทยุ ดูสักพัก หากยังลดเร็วอยู่เหมือนเดิม แสดงว่าเริ่มเสื่อมแล้ว ควรจะต้องเปลี่ยน หรือไม่ก็ใช้วิธียืดอายุไปอีกสักหน่อย ด้วยการชาร์จให้เร็วขึ้น เมื่อปริมาณแบตเตอรี่ลดเหลือ 50-60% ก็หาที่ชาร์จได้แล้ว
ปัญหา 3
เครื่องช้า หน่วง
อาการนี้เกิดจากแบตเตอรี่เรื่อมเสื่อม ทำให้จ่ายไฟไม่เพียงพอให้กับซีพียูหรืออุปกรณ์อื่น ส่งผลทำให้เครื่องหน่วง
แนวทางแก้ไขปัญหา
เมื่อเครื่องมีอาการหน่วง ช้า เมื่อเข้าแอปต่างๆ ให้ลองรีเซ็ตเครื่องให้กลับเป็นค่าโรงงาน หากเครื่องยังทำงานช้า ก็เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้แล้ว
ปัญหา 4
การซื้อแบตเตอรี่มาเปลี่ยนเอง
แบตเตอรี่มือถือทุกรุ่นมีขายผ่านเน็ต เช่น ลาซาด้า สามารถซื้อมาเปลี่ยนเองได้ เพียงแต่ให้ศึกษาข้อมูลให้ตรงรุ่น เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาทำเรื่องคืนสินค้า
แนวทางแก้ไขปัญหา
เมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม ก่อนตัดสินใจซื้อแบตเตอรี่มาเปลี่ยนเอง อาจจะสอบถามทางร้านซ่อม โดยให้ประมาณค่าซ่อมเบื้องต้นก่อน ตัดสินใจซ่อม ต้องรู้ราคาค่าซ่อมเสียก่อน ทั้งนี้อย่าลืมสำรวจราคาในเน็ตเสียก่อน เพื่อให้รู้ว่า ทางร้านซ่อมมือถือคิดราคาแพงมากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนใหญ่แพงกว่าแน่นอน ทั้งนี้หากสามารถเปลี่ยนเองได้ จะเป็นเรื่องดีมาก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก
ปัญหา 5
แบตเตอรี่เริ่มเสื่อม เครื่องดับ ขณะใช้งาน
บางเครื่องเมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมมากแล้ว อาจจะพบปัญหา เครื่องดับ ขณะใช้งาน หรือหากวางเครื่องไว้ ไม่ใช้งาน อาจจะไม่ดับ แต่หากเข้าแอป เครื่องก็จะดับทันที เป็นสัญญาณว่า แบตเตอรี่เสื่อมมากแล้ว
แนวทางแก้ไขปัญหา
แนวทางแก้ไขปัญหา ให้เสียบหัวชาร์จ หรือ พาวเวอร์แบงก์ไว้ตลอดเวลาขณะใช้งาน ก็จะยังคงเปิดเครื่องเพื่อใช้งานได้ เพื่อให้สามารถดูข้อมูล สำรองข้อมูล หรือ ดูข้อมูลในเครื่องได้ จากนั้นก็จัดการเปลี่ยนแบตเตอรี่
ปัญหา 6
แบตเตอรี่น่าจะยังไม่เสื่อมแต่เปิดไม่ติด
มือถือบางเครื่อง เพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน แต่แบตเตอรี่เริ่มมีปัญหา เครื่องเปิดไม่ติด ชาร์จไม่เข้า แต่เครื่องอาจจะไม่เสียก็ได้
แนวทางแก้ไขปัญหา
กรณีมือถือเกิดปัญหาในลักษณะนี้ ให้ลองแก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยตัวเองง่ายๆ ดูก่อน ด้วยการแกะเครื่อง แล้วแกะขั้วแบตเตอรี่ออกไปสักพัก ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ด้วยแปรง หรือน้ำยารอนสัน แล้วใส่ขั้วแบตเตอรี่กลับไปเหมือนเดิม อย่างเครื่องนี้ สอบถามช่างเบื้องต้นคิดค่าซ่อม 2,200 บาท ดีว่าตัดสินใจซ่อมเอง ไม่เสียเงินสักบาท
ปัญหา 7
ชาร์จเข้ายาก ไม่เต็มสักที
อาการชาร์จแล้วไม่เต็มสักที หรือใช้เวลานานมาก ปัญหานี้มักจะเกิดจาก ตูดชาร์จ แผ่งวงจรชาร์จแบตเตอรี่มีปัญหา เครื่องที่ใช้งานมานานหลายปี ก็มักจะมีปัญหาในลักษณะนี้
แนวทางแก้ไขปัญหา
ให้ค้นหาข้อมูลราคาตูดชาร์จ และศึกษาวิธีเปลี่ยนด้วยตัวเอง ในยูทูปมีวิดีโอสอนมากมาย ทำเองได้ไม่ยาก ส่วนการใช้บริการกับร้านมือถือก็ควรสอบถามเบื้องต้นเสียก่อน ว่าค่าบริการแพงกว่าการซื้อมาซ่อมเองมากน้อยเพียงใด ไม่ควรไปใช้บริการร้านค้าตามห้าง เพราะค่าใช้จ่ายที่แพงจะเป็นค่าเช่า ค่าใช้จ่ายของทางร้าน ตัวอย่าง ผู้เขียนต้องการเปลี่ยนจอมือถือ ไปห้างโรบินสัน ถามร้านซ่อมในห้างคิด 2,200 บาท ซื้อมาซ่อมเองหมดไปแค่ 384 บาท เป็นต้น
สรุป
หากยังใช้งานมือถือได้ตามปกติ สิ่งสำคัญที่จะต้องจดเอาไว้ หรือ จำให้ได้ ก็คือยี่ห้อ รุ่นของมือถือ เพื่อความสะดวกในการสั่งซื้ออะไหล่หรือชิ้นส่วน หรืออย่างน้อย ก็เพื่อสืบค้นหาราคาชิ้นส่วนเหล่านั้น เพราะหากเดินดุ่มๆ เข้าร้านซ่อมมือถือจะมีค่าใช้จ่ายสูง ทางร้านพวกนี้คิดราคาแพง
1. หากเครื่องยังคงใช้งานได้ดี ให้เข้าการตั้งค่า
2. ค้นหาคำสั่ง เกี่ยวกับโทรศัพท์ แล้วแตะเข้าไป
3. ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่อง เช่น ชื่อ รุ่น Redmi Note
4. เวอร์ชั่นของ Android
5. ดูข้อมูลเพิ่มเติม ค้นหาชื่อรุ่น จะเป็นรหัสตัวอักษรผสมกับตัวเลข เช่น รุ่น M2101K5G ต้องรู้ข้อมูลตรงนี้เพื่อที่เวลาสั่งซื้ออะไหล่ หรือ ค้นหาราคาอะไหล่จะได้ตรง ไม่ผิดตัว