สายตาเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยในการมองเห็น และรับข้อมูลเข้าสู่สมอง การใช้สายตามากเกินไปและหนักเกินไป ก็จะเกิดปัญหาสายตาตามมาในเวลาไม่นานนัก โดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งมีสื่อต่างๆ ให้เสพมากเหลือเกิน ในอินเตอร์เน็ตมีข้อมูลให้อ่าน ให้ดูมากมาย อุปกรณ์อีเล็คทรอนิคก็เช่นกัน ทั้งคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค มือถือ แท็บเล็ต เกมต่างๆ ที่ช่วยให้เราสามารถเสพข้อมูลทางสายตาได้ทุกที่ ยิ่งส่งผลให้สายตามีปัญหาเร็วกว่าปกติ
สำหรับคนไอทีอย่างผมจะให้ความสำคัญกับสายตามากที่สุด เพราะการอ่านช่วยให้มีความรู้เพื่อนำมาประกอบอาชีพนั่นเอง ผมเริ่มเล่นคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่อายุ 19 ตอนนี้สี่สิบกว่า ยังไม่มีปัญหาสายตามารบกวนอาจจะมีบ้างเวลาเจอสาวๆ น่ารักๆ ประเภทขาว สวย หมวย อึ๋มครึม เดินผ่านตา อาจจะมีอาการเบลอ ดวงตาเหม่อลอย ใจคอสั่น หัวใจเต้นแรงบ้างก็เท่านั้นเอง แต่ก็แค่ระยะเวลาสั้นๆ เหมือนโดนคลื่นรบกวน
เกมบางประเภททำให้สายตามีปัญหาเร็วมากขึ้น
สำหรับคนรุ่นใหม่ต้องบอกว่า น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะมีข้อมูลให้เสพเยอะจริง อย่างการเล่นเกม เป็นกิจกรรมที่ผมจะหลีกเลี่ยงไม่แตะ โดยเฉพาะเกมประเภทยิงหรือต่อสู้หรือเกมที่สายตาจะต้องทำงานหนักมากเปลี่ยนฉากบ่อยหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ลองนึกภาพว่าเลนซ์ตาจะซูมเข้าซูมออกตลอดเวลา ทำงานหนักมาก ไม่นานสายตาก็จะมีปัญหา ต่างจากการทำงานโดยปกติที่เราจะอาศัยแค่การมองธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
เลือกหน้าจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ จอแท็บเล็ต ให้เหมาะสม
หน้าจออุปกรณ์เหล่านี้ ก็มีส่วนทำให้สายตาเสียเร็วมากยิ่งขึ้น หน้าจอสว่างเกินไป เล็กเกินไป ก็มีผลต่อสายตาเช่นกัน การใช้อุปกรณ์เหล่านี้ หากใช้แล้วทำให้รู้สึกปวดตาเร็วกว่าปกตินั่นก็หมายความว่า ไม่เหมาะกับเรา โดยเฉพาะการเล่นเกมบนมือถือ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย
ตั้งเวลาในการทำงานและหยุดพักสายตา
สำหรับท่านใดที่ต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ลองหาโปรแกรมประเภทตั้งเวลาปลุกมาใช้ เพื่อป้องกันการทำงานเพลินจนลืมเวลา เพราะเมื่อเราทำงานๆๆๆ และทำงานไปเรื่อยๆ ก็จะมีสมาธิ ทำให้ทำงานได้ดี แต่ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลเสียต่ออวัยวะอย่างดวงตาของเรา ลองสังเกตุจะพบว่า ดวงตาจะกระพริบน้อยลง ซึ่งจะทำให้ดวงตาแห้งนั่นเอง การหยุดพักเป็นระยะๆ อาจจะติดตั้งโปรแกรมตัวนี้ก็ได้ ชื่อ FreeCounter TImer เช่นตั้งเวลาให้เตือนทุก 1 ชั่วโมงเพื่อพักสายตา และลุกขึ้นเดินเหยียดแข็งเหยียดขา หรือนอนนิ่งๆ บนพื้นเรียบจะดีที่สุด นอนมองเพดาน สัก 10 นาทีแล้วมาทำงานต่อ วิธีนี้ได้พักจริงๆ เพราะการนอนราบกับพื้นเรียบๆ จะช่วยลดผ่อนคลายการทำงานของกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อโดยรอบที่ต้องทำหน้าที่พยุงร่างกายขณะนั่งทำงานนั่นเอง
เครื่องดื่มบางประเภทมีผลต่อประสาทตา
เครื่องดื่มบางประเภทอย่างกาแฟ หรือชาเขียวจะมีผลออกฤทธิ์โดยตรงกับตา ประสาทและกล้ามเนื้อรอบๆ ดวงตา ผมเคยกินกาแฟกระป๋องซึ่งมีคาเฟอีนค่อนข้างสูงแล้วตามด้วยชาเขียวอีกหนึ่งขวด ซึ่งมีกาเฟอีนใกล้เคียงกัน ก็แปลกใจว่าทำไมมันมีอาการเบลอ พอศึกษาข้อมูลลึกๆ แล้ว จึงได้คำตอบ อย่างในชาเขียว ข้อความที่ระบุไว้ข้างขวด ดูน้อยมาก แต่ต้องคูณกับปริมาณจริงทั้งขวดจึงจะได้ตัวเลขที่แท้จริงของคาเฟอินในกระป๋องนั้น เครื่องดื่มสองประเภทนี้จึงควรหลีกเลี่ยงการกินทั้ง 2 อย่างในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะจะทำให้เบลอทำงานไม่ได้ ปวดตา
แก้ปัญหาอาการเบลอ ปวดรอบดวงตาเบื้องต้น
กรณีนี้จะเกิดจากการใช้สายตามากเกินไป อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานมากเกินไป ทำให้เบลอมองไม่ชัด เป็นปัญหาทางสายตาชั่วขณะ แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้เปิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อเราใช้สายตาไปนานๆ กล้ามเนื้อรอบดวงตาจะล้า ทำให้โฟกัสไม่ได้ จึงเกิดอาการเบลอ ก็เป็นอาการแจ้งเตือนว่าได้เวลาหยุดพักแล้วนะ ในตู้เย็นจึงควรจะมีผ้าเย็นหรืออะไรเย็นๆ เอาไว้ประคบรอบดวงตา ก็จะช่วยบรรเทาอาการนี้ได้
อาหารบำรุงสายตา
อาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพสายตามีหลายชนิด เช่น ไข่แดง ฟักทอง เครื่องในพวกตับหมู เป็นต้น สำหรับอาหารนั้นดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเมนูสิ้นคิดอย่าง ข้าวผัดหมู ข้าวใข่เจียว กระเพราไข่ดาว นั้นมีไข่แดงที่ช่วยบำรุงสายตาอยู่แล้ว แต่หากเป็นอาหารอย่างฟักทอง ดูจะยากจริงๆ เพราะร้านอาหารตามสั่งคงไม่สะดวกที่จะทำอาหารประเภทนี้ แน่นอน ถ้าเผลอไปสั่งก็อาจจะได้ ฟัก เฉยๆ จากเจ้าของร้าน 555
การใส่แว่นตาช่วยป้องกันแสงที่มากเกินไป
การใช้แว่นอาจจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือแว่นตาสำหรับใช้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์และแว่นตาสำหรับใช้กันแดด ซึ่งก็เป็นวิธีช่วยถนอมสายตาเราได้เหมือนกัน
ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา แต่หากไม่มีโลงศพ ก็ฝึกวิธีหลั่งน้ำตาเองได้ ไม่ยาก
การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา คนส่วนใหญ่จะใส่ใจกับสุขภาพก็ต่อเมื่อ ได้เกิดปัญหาขึ้นมาแล้วนั่นเอง ได้เห็นโลงศพนั่นเอง เราจึงจะเริ่มมาใส่ใจดูแลสุขภาพ เพราะได้สำนึกแล้วก็เลยหลั่งน้ำตา เพราะการหลั่งน้ำตา จะช่วยป้องกันดวงตาแห้งได้ การทำให้น้ำตาหลั่งออกมาได้ตามสั่งนั้น ผมมีวิธีฝึกง่ายๆ ก็คือ การหาว ฝึกบ่อยๆ ก็จะสามารถเรียกน้ำตาได้ตามสั่ง ไม่จำเป็นต้องไปดูโลงศพกันหรอกครับ เพราะเวลาเห็นโลงศพ อะดรีนาลีนเราจะอัดฉีดมากเป็นพิเศษ มีอาการตื่นตัว และพร้อมจะวิ่งหนีกันมากกว่า ไม่มีเวลามาหลั่งน้ำตากันหรอก
แรงบันดาลใจในการดูแลสุขภาพของผม
เรื่องนี้ก็มีที่มาที่ไป ก็ต้องขอขอบคุณบรรดา ลุงๆ ป้าๆ ตา ยาย บรรดาผู้สูงวัยรอบๆ ตัวผมทุกท่านที่ทำให้ได้เห็นตัวอย่างจริง และทำให้เริ่มใส่ใจกับการดูแลสุขภาพ คุณตา มีปัญหาทางสายตา ตาบอดสิบกว่าปี ก่อนจะเสียชีวิต ขณะที่คุณยายอายุ 90 กว่า แต่ไม่มีปัญหาเรื่องสายตา ยังมองเห็นได้เป็นปกติ ส่วนบรรดาผู้สูงวัยท่านอื่นๆ ที่รู้จักกัน มีหลายคนที่อายุจะแปดสิบแล้วแต่สายตายังใช้งานได้ดี สามารถขับรถเที่ยวคนเดียวได้ดูแลตัวเองได้ เมื่อมองมาที่การดำเนินชีวิตในปัจจุบันโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่โตมาพร้อมกับไอที มีสื่อมากมายจริงๆ ล่อลวงให้ใช้งานสายตาอย่างมาก เพื่ออ่านหรือดูสื่อเหล่านั้น เมื่ออายุมากขึ้น มันจะเป็นอย่างไรกันนะ?