การทำงานในปัจจุบันและอนาคตที่มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา ทำให้เกิดอาชีพใหม่ และทำให้บางอาชีพเริ่มหายไปตลอดกาล เรื่องนี้มีความสำคัญที่จะต้องปรับตัว หรือพัฒนาตนเองเพื่อเตรียมตัวทำงานส่วนตัวหรือทำงานอื่นแทนงานประจำที่ทำอยู่ เรื่องนี้มีความสำคัญ ที่จะต้องศึกษา โดยเฉพาะคนทำงานบริษัท ลูกจ้าง พนักงาน
การทำงานในยุคนี้มีคู่แข่งมากขึ้นและน่ากลัวกว่าการแช่งขันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง เพราะมีคู่แช่งเพิ่มเข้ามาก็คือ หุ่นยนต์และระบบ AI มีการนำเข้ามาใช้งานแทนมนุษย์ และมนุษย์ก็ต้องตกงานไปตามระเบียบ ตกงานตลอดกาล เพราะการนำหุ่นยนต์มาใช้งานแม้จะมีรายจ่ายสูงในช่วงแรก แต่คุ้มค่าในระยะยาว ทำงานได้ตามสั่ง ไม่เหมือนมนุษย์
รูปแบบการทำงานในปัจจุบันทีจำเป็นจะต้องศึกษาเพื่อปรับตัว
การทำงานในทุกวันนี้ อาจจะแบ่งเป็น 2 แนวทางที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
1. การทำอาชีพส่วนตัว อาชีพอิสระ ทำงานคนเดียว การทำงานในลักษณะนี้ ทุกวันนี้ง่ายกว่าเมื่อก่อน เพราะมีระบบต่างๆ รองรับอย่างเพียบพร้อม เช่น มีเฟสบุ๊คเป็นร้านค้า หรือประชาสัมพันธ์ มีเว็บไซต์เป็นคลังสินค้าออนไลน์ มี Youtube ทั้งข่วยแนะนำสินค้า ประชาสัมพันธ์หรือขายสินค้า มี Line ไว้ติดต่อคุยธุรกิจ เป็นต้น
2. การทำงานเป็นพนักงานต่อไป ซึ่งอาจจะเหลือไม่กี่อาชีพที่เทคโนโลยีไม่มีผล ทำให้ต้องตกงาน ซึ่งเป็นงานที่จำเป็นจะต้องใช้คน ใช้หุ่นยนต์แทนไม่ได้ เช่น พนักงานขายประกัน หรืองานใดๆ ก็ตามที่ต้องติดต่อกับมนุษย์ด้วยกันเองโดยตรง เพราะหุ่นยนต์หรือระบบ AI จะไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนเราได้
ความจำเป็นที่จะต้องปรับตัว
การปรับตัวมีความจำเป็น เพราะเมื่อมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ สาขาที่เรียนมา อาจจะไม่มีประโยชน์เลย เช่น สาขาบัญชี นิเทศก์ หลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัยจะปรับตัวตามทันหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเอง และสั่งสมความสามารถเฉพาะตัวด้วยตัวเอง ผู้เขียนจบสาขาครูประถม แต่ในยุคนั้น คอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามา การศึกษาหาความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ จึงเป็นทางเลือกที่ทำให้มีอาชีพใหม่ที่มีรายได้ดีกว่าอาชีพครู
ในปัจจุบันนี้ อาจจะมีเรื่องหุ่นยนต์ หรือระบบ AI เข้ามา การศึกษาในเรื่องนี้ ก็จะมีโอกาสได้งานใหม่ที่ช่วยให้ไม่ตกงาน ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาด้วยตนเอง เพราะในอนาคตข้างหน้า คนเก่งด้านนี้ ไม่ตกงานแน่นอน การวิเคราะห์เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะทำมาใช้และศึกษาด้วยตนเอง เป็นสิ่งจำเป็น เพราะในสถานศึกษา ซึ่งเป็นองค์กรใหญ่ ยากจะปรับตัวในเรื่องนี้
นอกจากหุ่นยนต์และ AI แล้ว เรื่องของมือถือ แอป การพัฒนาโอเอสมือถือ ก็เป็นงานที่น่าสนใจ เพราะยังมีช่องทางสร้างอาชีพจากความรู้ในด้านนี้ อย่างการทำแอปมือถือ เมื่อถึงเวลาหนึ่งแทบทุกองค์กรจำเป็นต้องมีแอปเป็นของตัวเอง คล้ายการมีเว็บไซต์ มีเฟสบุ๊ค เพื่อความสะดวกในการให้บริการลูกค้าหรือทำการตลาด
การปรับตัวและพัฒนาตนองสำหรับการทำอาชีพส่วนตัว
หากมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานมากขึ้น ทำให้ตกงาน ก็ต้องเตรียมตัวเพื่อรับมือ โดยเฉพาะการเตรียมตัวเพื่อทำอาชีพส่วนตัว อาชีพอิสระ ซึ่งทุกวันนี้ การขายสินค้าผ่านเน็ตเริ่มได้รับความนิยม ดังนั้นแต่ละคนจึงสามารถผลิตสินค้าและบริการเพื่อขายผ่านเน็ตได้ การขำระเงิน การจัดส่งสินค้า ก็สะดวกมาก เอื้อต่อการทำงานอิสระ ดังนั้นจำเป็นต้องศึกษาในเรื่องนี้
สำหรับคนรุ่นใหม่นั้นไม่น่าเป็นห่วง แต่คนรุ่นเก่าอายุประมาณสัก 40 ปีขึ้นไป บางคนไม่เอาอะไรเลย จะเอาแต่คิดว่า แก่แล้ว ไม่ไหว คิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะเมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามา หากตกงาน ชีวิตต้องมีปัญหาแน่นอน และตราบจนกว่าจะสิ้นอายุขัย อาจจะต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องการทำมาหากินแทบตลอดเวลา เพราะไม่เช่นนั้น ก็จะเอาตัวไม่รอด นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนมั่นใจว่า คนอายุ 40 ขึ้นไปได้เจอแน่นอน หากไม่ปรับตัว ลำบากแน่นอน
ซึ่งขณะนี้จะเป็นกลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป หลายคนก็เริ่มศึกษาเทคโนโลยี่ใหม่แล้ว เริ่มเล่นมือถือ ไลน์ เฟสบุ๊ค แต่ยังไม่พัฒนาถึงขั้นที่สามารถขายสินค้าผ่านเน็ต อาจจะมีบางคนเริ่มกล้าซื้อสินค้าผ่านเน็ต เรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะนี่คือช่องทางสร้างรายได้หากอาชีพการเป็นพนักงาน ลูกจ้าง มนุษย์เงินเดือน นั้นเหลือตัวเลือกน้อยลง หรืออาจจะต้องออกจากงานก่อนกำหนด ไม่เตรียมตัวรับมือลำบากแน่นอน
การปรับตัวและพัฒนาตนเองสำหรับมนุษย์เงินเดือน พนักงาน
สำหรับการทำงานประจำ มนุษย์เงินเดือนนั้น จำเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์ให้ดีเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ มีโอกาสถูกเลิกจ้าง หรือสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ นำหุ่นยนต์ เข้ามาแทนที่ได้หรือไม่ หรือมีเหตุให้ต้องลดพนักงานลงได้หรือไม่ อย่างพนักงานธนาคาร ตอนนี้ คนรับฝาก ถอนเงิน นั้นไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะตู้รับฝากเงิน ไม่ต้องใช้พนักงาน คนที่ยังเป็นที่ต้องการ จะต้องมีความสามารถทำงานให้ธนาคารได้ อย่าง พนักงานขายประกัน หรือหาลูกค้ามาใช้บริการ นี่คือตัวอย่างความสามารถที่ต้องพัฒนาและปรับตัวหากต้องการเอาตัวรอด
งานแต่ละประเภทการปรับตัว การพัฒนาตนเองเพื่อเอาตัวรอด ก็จะมีวิธีที่ต่างกันไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องเลือกให้ถูกต้อง อย่างการไปเรียนเพื่อให้มีวุฒิการศึกษาสูงขึ้นจากปริญญาตรีเป็นปริญญาโทหรือเอก ก็ต้องดูว่า จะมีโอกาสอยู่รอดในสายงานนั้นหรือไม่ อย่างพนักงานธนาคาร ต่อให้มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอก ธนาคารก็อาจจะไม่จ้างให้ทำงานต่อไป เพราะความต้องการของธนาคารในตอนนี้ส่วนใหญ่จะเน้นให้พนักงานช่วยกันหารายได้เข้าธนาคาร ซึ่งไม่จำเป็นต้องเรียนจบสูง ขอให้ขายประกันเก่ง ทำยอดเก่ง เป็นใช้ได้ เช่นเดียวกันกับพนักงานบริษัท พนักงานขาย ย่อมเป็นตำแหน่งสำคัญกว่า พนักงานทั่วไป ที่ไม่มีส่วนช่วยสร้างรายได้
การเลือกที่จะศึกษาในเรื่องหนึ่งเรื่องใด จึงต้องศึกษาให้รอบคอบ ไม่เช่นนั้นจะเสียเวลา เสียเงินทองโดยใช่แหตุ แต่ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตการทำงานดีขึ้น มีโอกาสโดนจ้างออกเหมือนเดิม สำหรับมนุษย์เงินเดือนในตอนนี้ จึงควรศึกษาถึงการทำอาชีพอิสระ อาชีพส่วนตัว เพราะหากถูกให้ออกเร็วกว่ากำหนด อาชีพเหล่านี้จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในอนาคต การหวังพึ่งพาบริษัทอาจจะทำให้ชีวิตผิดพลาดได้
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาเพื่อเตรียมตัวทำงานก็เช่นกัน ในสาขาที่เรียนนั้น อาจจะไม่ได้นำวิชาไปใช้แต่อย่างใด ดังนั้นก็ต้องสร้างความสามารถเฉพาะตัวเพื่อให้ตรงกับที่ตลาดแรงงานต้องการ ไม่เช่นนั้นจบมาแล้ว ก็มีโอกาสตกงานแน่นอน
บทความนี้เป็นการวิเคราะห์ตามความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง โปรดใช้วิจารณญาณ เรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะหากไม่สนใจ ไม่พัฒนาตนเองให้พร้อม เช่น ทำงานโรงงาน ไม่มีความรู้ในการทำอาชีพเฉพาะทาง หากวันใดที่โรงงาน มีการหุ่นยนต์มาใช้งานแทนพนักงาน เมื่อนั้น ก็จะตกงานแน่นอน
ประสบการณ์ที่ผู้เขียนเจอกับตัว ก็คือการทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ ทำหนังสือขาย โดยไม่เคยวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในอนาคต อย่างการเกิดของ Google ทุกเรื่องสามารถค้นหาผ่าน Google ได้ทั้งหมด ทำให้หนังสือขายไม่ออก สำนักพิมพ์ทั่วประเทศเริ่มปิดตัวลง กลายเป็นธุรกิจที่ล้มหายไปตลอดกาล คนที่ตามไม่ทัน ก็ลำบาก คนที่ปรับตัวได้ทันก็รอด ในอนาคตยังมีธุรกิจอีกมากที่จะมีอนาคตมืดมนเช่นเดียวกัน