คำนามแบบพหูพจน์จะหมายถึงคำที่มีความหมายถึงจำนวนหรือปริมาณที่มากกว่าหนึ่งหรือตั้งแต่ 2 ขึ้นไป คำประเภทนี้จำเป็นต้อง แยกแยกให้ถูกต้อง เพื่อให้รู้ว่าจะต้องใช้คำเหล่านั้นอย่างไร โดยเฉพาะการใช้กับคำกริยา ซึ่งจำเป็นต้องใช้เพื่อเรียบเรียงประโยค แยกแยะคำเหล่านี้ไม่ออก ก็เรียบเรียงประโยคไม่ถูกต้อง
คำนามแบบพหูพจน์ในการนำไปใช้งานจะต้องใช้กับคำกริยาแบบพหูพจน์เช่นกัน ซึ่งจะกล่าวถึงคำประเภทนี้อย่างละเอียดในบท ความถัดไป แต่ในบทความนี้เรามาทำความรู้จักคำพหูพจน์ในเบื้องต้นกันก่อน
ตัวอย่างคำนามพหูพจน์
1. คำนามนับได้ที่มีจำนวนตั้งแต่ 1 ขึ้นไป เช่น
boy (บอย) หมายถึงเด็กผู้ชาย กล่าวโดยรวมๆ จะต้องใช้คำกริยาเอกพจน์
A boy is nauthy.
บอย อีส นอตี้
เด็กชายเป็นเด็กซุกซน
The boys in classroom are nauthy.
เดอะบอย อิน คลาสรูม อาร์ นอติ
เด็กผู้ชายที่อยู่ในห้องเป็นเด็กที่ซุกซน
The boys in classroom are nauthy.
ในที่นี้จะหมายถึงเด็กผู้ชายหลายคนที่อยู่ในห้องเป็นเด็กที่ซุกซน คำว่า boys จะเป็นพหูพจน์ เพราะเติม s
ตัวอย่างคำประเภทนี้่เพิ่มเติม เช่น
a table เทเบิล จะหมายถึงโต๊ะ 1 ตัว tables เทเบิ้ลสฺ จะหมายถึงโต๊ะหลายตัว
a dog (อะ ด้อก) สุนัขหนึ่งตัว
dogs (ด้อกสฺ) หมายถึงสุนัขหลายตัว
หากรู้ว่าคำใดเป็นคำนามแบบเอกพจน์หรือพหูพจน์การนำคำไปใช้แต่งประโยค เพื่อเขียนหรือพูดก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะภาษาอังกฤษจะไม่เหมือนภาษาไทย คำกริยาใช้แบบเดียวกันทั้งหมด เช่น
แดงกินข้าว
ครอบครัวนายแดงกินข้าว
คำว่า กิน ก็ใช้แบบเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะมีประธานเพียงคนเดียวหรือหลายคนก็ตาม ซึ่งต่างจากภาษาอังกฤษ
Daeng eats breakfast. (แดง อีทสฺ เบรคฟัส)
Daeng's Family eat breakfast. (แดง สะ แฟมมิลี่ อีท เบรคฟัส)
คำว่า eat (อีท) ซึ่งแปลว่ากินจะเปลี่ยนไปตามจำนวนประธาน ถ้าคนเดียวจะต้องเดิม s เป็น eats ถ้าหลายคนจะไม่เติม s เป็น eat