ความฟุ้งซ่านเป็นปัญหาพื้นฐานที่มักจะเกิดกับคนเราอยู่เสมอ โดยมีระดับความรุนแรงของปัญหาต่อตนเองหรือผู้คนรอบข้าง มากน้อยต่างกันไป ตามแต่ความคิดหรือสภาวะบางอย่างที่กำลังเป็นอยู่และบางครั้งก็สร้างผลกระทบตามมาที่รุนแรง หากเอา ความฟุ้งซ่านของตัวเองไปรบกวนคนรอบข้าง เพราะบางคนนั้นไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังป่วยเพราะความฟุ้งซ่านที่มากเกินไป

 

การเกิดความฟุ้งซ่าน หรือมีความคิดแบบนี้ อาจจะเกิดได้ในหลายกรณี เช่น

1. ความเพ้อฝัน อยากได้อยากมีในสิ่งที่เกินกำลัง
คนทั่วไปที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่ไม่ได้ ไม่สามารถทำในสิ่งที่สามารถสนองความต้องการของตัวเองได้ เพราะไม่มีความ สามารถ ไม่มีเงิน ไม่มีกำลังที่จะทำในสิ่งที่ต้องการ ก็จะทำให้เกิดความทุกข์ใจ ความฟุ้งซ่านระดับนี้ มักจะแก้ไขได้เมื่อได้สิ่งที่ตัว เองต้องการ แต่ก็ยังไม่จบ เพราะความฟุ้งซ่านจะพัฒนาไปเป็นขั้นที่ 2

2. ความฟุ้งซ่านที่เกิดจากการมีชีวิตสุขสบายเกินไป
ความฟุ้งซ่านแบบนี้มีอยู่จริง เป็นพัฒนาการต่อจากขั้นแรก เมื่อเกิดความฟุ้งซ่านอยากรวย อยากมีทรัพย์สิน สิ่งของ และได้สิ่ง นั้นมาไว้ในครอบครอง มีทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว บ้าน รถ เงินทอง ชีวิตไม่มีความเดือดร้อน ตอนนี้ก็จะเริ่มเกิดความฟุ้งซ่าน อีกประเภทหนึ่งซึ่งยากจะแก้ไข เป็นความฟุ้งซ่านที่เกิดจากการมีชีวิตที่สุขสบาย เพราะสิ่งที่ต้องการนั้น ใช้เงินซื้อไม่ได้ ต้องแก้ไข ที่ใจของตัวเองเท่านั้น

 

วิธีดับความฟุ้งซ่านด้วยตัวเอง

วิธีดับความฟุ้งซ่านในเรื่องเพ้อฝัน อยากได้ อยากมี

การดับความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นในใจนั้น หากเป็นความคิดอยากได้ อยากมีอยากเป็น ให้มีความทัดเทียมกับผู้อื่นหรือมากกว่าผู้อื่น เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา การยอมรับความจริง ยอมรับความสามารถของตนเองจะทำให้หยุดความฟุ้งซ่านตรงนี้ลงได้ เพราะคน เรานั้น มีบุญ วาสนา มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตที่ต่างกันไป บางคนยากจนและลำบากมาทั้งชีวิต แต่ในบั้นปลาย จู่ๆ ก็ ได้มรดกจากพ่อแม่หลายล้าน กลายเป็นเศรษฐีตอนแก่ หรือเมื่อลูกหลานเริ่มโตขึ้น ก็เริ่มลืมตาอ้าปากได้ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ทัด เทียมกับคนอื่น เพราะลูกหลานส่งเสริม เป็นต้น

 

การยอมรับความจริง เป็นหนทางเดียวที่จะดับความฟุ้งซ่านลงได้ ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ตั้งหน้าตั้งตาทำงานตามแผนที่วางไว้ สักวันก็อาจมีโอกาสสิ่งที่ต้องการ หรืออาจจะไม่ได้ ก็ต้องทำใจยอมรับความเป็นจริง ชีวิตก็จะไม่มีความทุกข์ใจ

 

วิธีดับความฟุ้งซ่านเมื่อมีชีวิตสุขสบายแล้ว

เมื่อคนเรามีชีวิตที่สุขสบายแล้ว มีบ้าน มีรถ มีครอบครัว ลูกหลาน มีทุกอย่าง ก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข แต่ความสุขอาจจะ คงอยู่แค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง จากนั้นจะเริ่มเกิดความฟุ้งซ่านที่ใช้เงินทองช่วยแก้ไขปัญหาไม่ได้เลย เช่น การเกิดความ หึงหวงคู่ครองตนเอง คิดมาก จินตนาการไปไกล มโนได้เป็นตุเป็นตะ หรือการพยายามบังคับให้ลูกหลานเป็นอย่างที่ต้องการ การคิดเอาแต่ใจ การเกิดความเบื่อหน่ายในความสุขสบายที่มีอยู่ หลายคนอาจจะคิดว่า เรื่องแบบนี้ ไม่น่าจะมีอยู่จริง แต่หากลองสังเกตุจากคนใกล้ตัว ก็จะพบว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ บางครอบครัว ลูกหลานประสบความสำเร็จ ส่งเสียดูแลพ่อแม่ให้อยู่ดีกินดี ดูภายนอกเหมือนน่าจะมีความสุข แต่พ่อแม่กลับทำตัวสร้างปัญหา เพราะเกิดความฟุ้งซ่านของตนเอง บางคนก็เอาแต่ใจ เรียกร้องความรักไม่รู้จักหยุด บางคนก็พยายามบังคับลูกหลานให้ทำตาม ที่ตัวเองต้องการ หรือกรณีมีแฟน มีคู่ครองที่เป็นแม่บ้าน ไม่ต้องทำงาน อยู่บ้าน ดูแลบ้าน สักพักใหญ่ บางคนก็เริ่มจะเกิดอาการ ฟุ้งซ่าน และเริ่มสร้างปัญหาให้คู่ของตน โดยเฉพาะในเรื่องความหึงหวง

 

การแก้ปัญหาความฟุ้งซ่านในลักษณะนี้ ไม่ง่ายนัก เพราะผู้ประสบปัญหาจะต้องแก้ไขด้วยตัวเอง ค้นหาคำตอบชีวิตด้วยตัวเอง ไม่มีใครสามารถช่วยใครได้ อย่างมากก็แค่แนะนำ แต่จะคิดได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย และการแก้ปัญหาก็อาจจะต้องยุติลงด้วย ความเลวร้าย อย่างผู้ที่เป็นคู่ครองกัน หากอีกฝ่ายเกิดความฟุ้งซ่านหนักมาก เอาแต่หึงหวงหรือพยายามควบคุมอีกฝ่าย ไม่รู้จัก เหน็ดจักเหนือย มโนไปไกล คิดอะไรบ้าบอคอแตกไปเสียทุกเรื่อง ทางออกเดียวในการแก้ปัญหาก็คือ ต้องเลิกรากันไป เมื่อนั้น จึงจะเริ่มคิดได้ว่า ปัญหานั้น เกิดจากอะไร ต้องแยกทางกันเพราะอะไร

 

การได้ปล่อยให้ชีวิตเจอความทุกข์อย่างที่สุด จะเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้เข้าใจชีวิต และสามารถดับความฟุ้งซ่านในใจ ในทุก เรื่องลงได้ ด้วยความเข้าใจ การปล่อยวาง การเข้าใจหลักธรรมชาติ

 

ทั้งหมดนี้ก็คือ ปัญหาชีวิตพื้นฐาน ที่มักจะเกิดกับคนเรา เป็นความฟุ้งซ่านที่จะต้องตามให้ทัน และรู้วิธีรับมือ รู้ถึงระดับความ รุนแรงของปัญหานี้ และผลกระทบที่จะตามมา เพราะหากนำความฟุ้งซ่านของตนไปลงกับคนรอบตัว ก็มักจะสร้างปัญหาตามมา เสมอ โดยเฉพาะคนใกล้ตัว คนในครอบครัว ปัญหาพ่อแม่ลูก ซึ่งกว่าจะจบปัญหาลงได้ อาจจะใช้เวลาเป็นสิบปีเสมอ สร้างความ ทุกข์กาย ทุกข์ใจให้กัน ด้วยเรื่องไร้สาระ ที่เกิดจากความคิดบ้าๆ ของตนเองเท่านั้น คนที่มีอาวุโสสูงกว่า ต้องตามให้ทันความคิด ของตน เพราะเป็นผู้ที่มักจะทำร้ายจิตใจคนรอบข้างได้มากที่สุด เมื่อลูกหลานไม่กล้าขัด ก็ต้องทนยอมๆ กันไป จนกว่าจะตาย จากกันไปข้าง กินเวลาเป็นสิบๆ ปี กว่าจะจบปัญหาลงได้