ปัญหาสำคัญที่เกิดกับคนเราแล้วก็ทำให้เกิดความทุกข์อย่างหนึ่ง ก็คือ ความคิด หรือ วิธีคิด ของตนเอง นั่นเอง ความคิดในสมองเรามีทุกเรื่อง แต่ก็มีส่วนทำให้เราเกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรืออาจจะขัดขวามความในการทำธุรกิจ ไม่สามารถก้าวไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ หากต้องการพัฒนาตัวเองให้ถึงขีดสุด ประสบความสำเร็จ ก็จำเป็นต้องรู้จักและจัดการกับความคิดเหล่านั้น อย่าให้สร้างปัญหากับตัวเอง

 

ความคิดที่ขัดขวางความก้าวหน้าหรือลดโอกาสประสบความสำเร็จ ความคิดประเภทนี้สามารถเกิดกับคนเราได้เป็นปกติ เช่น ขี้เกียจ ไม่มีทุน ไม่มีคนช่วยเหลือ ไม่มีความรู้ ฯลฯ

 

ตัวอย่างวิธีคิดที่ขัดขวางโอกาสประสบความสำเร็จ

สำหรับวิธีคิดแบบนี้ ก็มีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิต การทำงาน ความชอบของแต่ละคน ทำให้เกิดความคิดที่ต่างกันไป ตัวอย่างเช่น

 

ร้านอยู่ในทำเลดี ดังนั้นต้องขายแพงไว้ก่อน

บางคนมีหน้าร้านติดถนน ถือว่าตัวเองอยู่ในทำเลที่ดีกว่า จึงเน้นขายแพง ไม่ง้อลูกค้า กรณีนี้ก็อาจจะมีรายได้จากลูกค้าจรที่ขับรถผ่านทางมาเป็นหลัก แต่ลูกในพื้นที่จะไปร้านอื่น เพราะรู้ว่าขายถูกกว่า อย่างบางร้านอยู่ในซอยลึก แต่ขายถูกกว่า ลูกค้ามากกว่า กรณีเป็นลูกค้าในพื้นที่ก็ย่อมจะไปอุดหนุนร้านที่ขายถูกกว่า เรื่องนี้ต้องลองบันทึกยอดขาย รายได้จากลูกค้าทั้งสองกลุ่มแล้วนำมาเปรียบเทียบกัน เพื่อจะได้ตั้งราคาที่เหมาะสม เพราะหากมีลูกค้าในพื้นที่เป็นลูกค้าประจำ ก็ย่อมจะได้เปรียบ

 

อยากได้เงินหรือมีรายได้เพิ่มแต่เดินทางอ้อม

หากเงินคือจุดมุ่งหมายหลักของชีวิต ไยต้องเดินทางอ้อม ทำไมไม่เดินเข้าไปหาเงินตรงๆ นี่คือวิธีคิดของบางคน ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็การศึกษา การเรียนจบปริญญาตรี แล้วต่อปริญญาโท ตามด้วยปริญญาเอก เพื่อหวังให้มีรายได้มากๆ ในขณะที่หากเงินคือจุดมุ่งหมายหลัก การเน้นทำงานหาเงินโดยตรงอย่างการทำงานอิสระ งานส่วนตัว จะมีโอกาสทำเงินได้มากกว่า เอาเงินที่ไปลงทุนเรียน มาลงทุนในธุรกิจ ก็มีโอกาสถึงฝันได้เร็วกว่าแน่นอน

 

หวังรับงานจากลูกค้าทางเดียว

การรับจ้างทำงาน อาชีพรับจ้าง หรือช่างที่รับงานตามคำสั่งลูกค้า มักจะรอให้มีคนมาว่าจ้างเพื่อทำงาน บางคนไม่คิดจะทำสินค้าขึ้นมาเอง หากมีผลงานเป็นของตัวเอง และสินค้านั้นๆ ขายได้ทุกเดือน หรืออาจจะเป็นสินค้าขายดีประจำร้าน แม้จะไม่มีคนว่าจ้างก็มีรายได้ อย่างบางคนทำงานเชื่อม งานหล็ก ก็ผลิตสินค้าของตนเอง ทำรถพ่วงข้างเอาไว้ขาย ทำเก้าอี้ โต๊ะ ก็มีโอกาสขายได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องทำไว้สักชุด เพื่อให้รู้ข้อมูลต้นทุน และมีภาพไว้โชว์ลูกค้า เผื่อไว้โพสต์ขาย โดยเฉพาะช่างรุ่นเก่านั้น บางคนใช้เน็ต ใช้โซเชียลไม่เป็น ขายของผ่านเน็ตไม่เป็น

 

การคิดค่าจ้าง ค่าแรงที่แพงไว้ก่อนสำหรับช่างบางคน วิธีนี้ก็เป็นการไล่ลูกค้าทางอ้อมได้เหมือนกัน เหตุที่คิดแพง ก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อคนเราเริ่มพบว่า ตัวเองเริ่มเก่ง ก็จะคิดแพงขึ้น หรือมีภาระรายจ่ายมากขึ้นก็เอามาบวกเพิ่มกับงานที่ตัวเองทำ อย่างช่างซ่อมรถยนต์บางคนนั้น แม้จะมีฝีมือดีกว่า งานล้นมือ แต่ค่าแรงยังถูกกว่าร้านอื่น เพราะรู้วิธีลดต้นทุนของตัวเองให้น้อยลง ก็จะไม่ต้องคิดค่าแรงแพงกับลูกค้า ไม่ต้องมีค่าเช่า ไม่มีลูกน้อง ชีวิตไม่มีรายจ่ายมากเหมือนคนอื่นก็จะคิดค่าแรงไม่แพง ลูกค้าก็จะมาอุดหนุนมาก งานล้นมือ

 

ไม่เปลี่ยนความคิด หรือวิธีคิด ยังยึดติดวิธีเดิมๆ

ในการทำธุรกิจไม่ว่าจะใหญ่เล็ก หรือเป็นแบบใดก็ตาม จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด หรือกระบวนการคิด วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของตัวเอง และพยายามปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับยุคสมัย ไม่เช่นนั้นก็ยากจะประสบความสำเร็จ เพราะวิธีคิดแบบเดิมๆ กับการทำธุรกิจแบบเดิมอาจจะใช้ไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า ทุกวันนี้มีช่องทางทำการตลาดผ่านเน็ต ผ่่านโซเชียลมากมาย การยึดติดกับวิธีเดิมๆ อาจจะทำให้ไม่มีลูกค้า ไม่มีรายได้ เพราะลูกค้าไปอยู่ในเน็ต ในเฟสบุ๊ค ใน Youtube กันหมดแล้ว

 

อยากอยู่แค่นี้ พอแล้ว ไม่อยากโตไปกว่านี้

เมื่อทำงานไปสักพัก กิจการไปได้ดี บางคนก็ขอพอใจแต่เพียงเท่านี้ ไม่เอาแล้ว การคิดแบบนี้อาจจะสร้างปัญหาให้ตัวเองในภายหลัง อย่างกรณีของผู้เขียน เคยมีความคิดแบบนี้ คิดว่า แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่เอาแล้ว เพราะไม่คิดว่างานที่ทำอยู่นั้นจะมีปัญหา ทำให้การเงินต้องมีปัญหาตามมา ทั้งเรื่องรูปแบบการขายสินค้าที่เปลี่ยนไป ความนิยมในสินค้า และคู่แข่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ เบียดให้หายไปจากตลาด

 

หากคิดว่าอยากพอแค่นี้ อยากหยุดแค่นี้ ก็ควรสร้างความมั่นคงให้ตัวเองในเรื่องปัจจัยพื้นฐานให้ครบครันเสียก่อน เช่น
1. มีบ้าน ที่ดินเป็นของตัวเอง โดยไม่เสียค่าเช่า เช่น เปิดร้านอาหาร สถานที่เปิดร้าน ก็เป็นของตนเอง ไม่ต้องเสียค่าเช่า เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด เพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับร้านอื่น อย่างร้านที่มาเปิดในบริการใกล้เคียงกันหากจะต้องเสียค่าเช่า สายป่านไม่ยาวพอ ก็ยอ่มจะสู้เราไม่ได้
2. มีรายได้จากทางอื่นมากกว่า 1 ทางขึ้นไป เช่น เปิดร้านอาหาร มีร้านเป็นของตนเอง ไม่ต้องเสียค่าเช่า กำไรที่ได้ ก็มีการนำไปลงทุนด้านอื่น อย่างทำบ้านเช่า ฝากธนาคารกินดอกเบี้ย เป็นต้น การมีรายได้จากหลายทางแบบนี้ การเงินจะมีความมั่นคงมากขึ้น ก็ไม่ต้องพะวงกับรายรับ อยากจะพอแค่นี้ หยุดแค่นี้ก็ไม่มีปัญหา
3. วางระบบร้านค้าให้่ดี ให้คนอื่นสามารถช่วยทำงานแทนตนเองได้ จะได้มีเวลาว่างไปทำงานอื่นหรือพักผ่อนอย่างเต็มที่ในบางช่วง หรืออาจจะขายกิจการให้คนอื่น หากคิดว่า มีรายได้จากหลายทางแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องทำงานอีกต่อไปแล้ว

 

ผัดวันประกันพรุ่ง

<[>เมื่อมีสิ่งที่จะต้องทำ แต่บางครั้งก็จะเริ่มขี้เกียจและหาเหตุผล 1081009 มาอ้างเพื่อที่จะเลื่อนไปก่อน ยังไม่อยากเผชิญกับสิ่งนั้น ผู้เขียนเคยคิดว่าจะพัฒนาตัวเองในบางเรื่อง แต่เวลาก็ผ่านไปเป็นปี ก็ยังไม่ได้ลงมือทำเหมือนเดิม และก็ยังไม่รู้ว่าจะทำเมื่อไร ซึ่งก็รู้ทั้งรู้ว่า หากไม่พัฒนาตัวเองให้มากกว่าที่เป็นอยู่อนาคต งานอาจจะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน

มีคนให้พึ่งพา ไม่เดือดร้อน

การมีคนให้พึ่งพา จึงไม่เดือดร้อน ดังนั้นเรื่องงานจึงทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ก็ไม่สนใจ หากเสพติดวิธีคิดและการปฏิบัติตัวแบบนี้จนเคยชินแล้ว ก็ยากจะประสบความสำเร็จ ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะพอคิดจะทำ ก็จะเกิดความคิดขึ้นมาทันทีว่า จะทำไปทำไม ตอนนี้ก็สบายดี ไม่เดือดร้อน ก็จะล้มเลิกความคิดที่จะทำ ซึ่งชีวิตคนเรานั้น ไม่มีใครให้พึ่งพาได้ตลอดไป ก็ย่อมจะมีวันที่จะต้องยืนด้วยขาตัวเอง เมื่อนั้นก็มักจะเดือดร้อน

 

ไม่มีทุนอย่าไปทำเลย รอทุนก่อน

คนไม่น้อยมักจะคิดแบบนี้ เมื่อคิดจะทำงานหรือทำธุรกิจบางอย่าง จะคิดว่า ต้องมีทุน ไม่มีทุนก็จะทำอะไรไม่ได้ แต่พอมีทุนก็จะนำเงินไปใช้เรื่องอื่นหมดทุกที แล้วก็รอเหมือนเดิม ส่วนเรื่องของทุนนั้น ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็จะมีช่องทางบริหารให้เกิดประโยชน์ได้ มีช่องทางลงทุนได้หลายทาง ปัจจุบันมีกรณีศึกษาของคนทุนน้อยมากมายเป็นแนวทาง

ขณะนี้ผู้อ่านอาจจะเป็นพนักงาน มีงานประจำอยู่แล้ว แต่อยากทำงานเสริม ทำอาชีพอิสระ หรือกำลังมองหางาน หรือมีความคิดจะทำงานส่วนตัว ก็ลองสำรวจวิธีคิดของตนเอง มีเรื่องใดบ้างที่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองประสบอยู่และเป็นตัวขัดขวางทำให้ไม่กล้าลงมือทำธุรกิจ หรือทำงานใดๆ ก็ตาม วิธีคิดที่ผิดที่ ผิดทาง ผิดแปลกออกไป มักจะส่งผลต่อโอกาสในการประสบความสำเร็จได้เช่นกัน