ซื้อรถยนต์มือสองหรือผ่อนรถใหม่ เลือกอะไรดีนะ เมื่อเริ่มทำงานและมีเงินเดือน หลายคนจะเริ่มมองหารถ โดยเฉพาะป้ายแดง ผู้เขียนอยากจะเสนอความคิดเห็นให้ผู้อ่านได้ลองเก็บไปคิดพิจารณา เพื่อเปรียบเทียบการซื้อรถใหม่ป้ายแดงและการซื้อรถมือสอง เพื่อให้เป็นความแตกต่างของเงินที่หายไปจากกระเป๋า

รถยนต์มีมูลค่าราคาหลักแสนถึงหลักล้านบาท การมีไว้ในครอบครองจะยังคงมีรายจ่ายต่อเนื่องทุกวันทุกเดือนทุกปี เป็นค่าน้ำมันค่าบำรุงรักษา ภาษี พ.ร.บ. ประกันภัย และรายจ่ายอื่นๆ อีกหลายอย่าง รถยิ่งแพงรายจ่ายยิ่งสูง คนส่วนใหญ่คิดแต่จะมีรถ แต่น้อยคนจะคิดถึงรายจ่ายที่จะตามมา โดยเฉพาะคนที่กำลังเริ่มต้นทำงาน กำลังตั้งตัว จำเป็นต้องรู้เรื่องเงินที่จะต้องจ่ายไปกับรถอย่างละเอียด บทความนี้จะมาแนะนำเรื่องควรรู้ การซื้อรถยนต์มือสอง กับ ผ่อนรถยนต์ใหม่

ซื้อรถใหม่

 

เพื่อจะได้วางแผนการเงินไม่ผิดพลาดในหัวข้อนี้จะเปรียบเทียบให้ผู้อ่านได้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า การซื้อรถใหม่ป้ายแดงกับการซื้อรถเก่า ซื้อรถมือสองนั้น มีความแตกต่างในเรื่องรายจ่ายมากน้อยเพียงใด

 

การซื้อรถใหม่ป้ายแดง

ตัวอย่างการรถใหม่ป้ายแดงซื้อเงินผ่อน เช่น Honda City รุ่น V AT ตารางผ่อนรถหาได้จากเว็บไซต์ต่างๆ ควรนำมาคิดคำนวณก่อนซื้อรถจริง เช่น
1. รถใหม่ราคา 649,000 บาท
2. วางเงินดาวน์ 20% 129,800 บาท
3. ผ่อน 6 ปีหรือ 72 งวดๆ ละ 8,423 บาท

ซื้อรถใหม่

สรุปรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการซื้อรถป้ายแดงใน 6 ปี

1. เงินดาวน์ 129,800 บาท
2. ผ่อน 72 งวดหรือ 6 ปี ผ่อนงวดละ 8,423 รวมทั้งหมด 72 x 8,423 = 606,456
3. ใน 6 ปีมีค่าประกันชั้น 1 ปีละ 15,000 บาทขึ้นไป (สมมุติ แต่ของจริงจะมากกว่านี้) หรือ 6 x 15,000 = 90,000 บาท
4. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าซ่อมบำรุง เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ฯลฯ รถใหม่มีค่าใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาทต่อ 100,000 กิโลเมตรการใช้งาน 6 ปี สมมุติว่าขับไปเป็นระยะทาง 200,000 กิโลเมตรจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 60,000 บาท (หาข้อมูลการซ่อมบำรุงตามระยะทางได้จากเว็บไซต์รถยนต์นั้นๆ)
5. ระยะทางประมาณ 200,000 กิโลเมตร เปลี่ยนยาง 2 ชุด ประมาณ 20,000 บาท หรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับขนาดของล้อ
6. เปลี่ยนแบตเตอรี่ทุก 3 ปี รวม 2 ลูกๆ ละ 2,000 รวม 4,000 บาท

 

สรุปรายจ่ายรถป้ายแดงทั้งหมดใน 6 ปี

รายจ่ายโดยประมาณ เกี่ยวกับการผ่อนรถใหม่ 6 ปี กับรถใหม่ป้ายแดง 1 คัน
รวมเงินทั้งหมด

129,800+606,456+90,000+60,000+20,000+4,000=910,256 บาท

หรือคิดเป็นเดือนๆ ละ 910,256 หาร 72 เดือน = 12,642 บาทต่อเดือน

** ตัวเลขทั้งหมดนี้ยังบวกไม่ละเอียด ยังมีรายจ่ายอื่นๆ อีก เช่น สายพาน โช้คที่อาจจะเสีย ที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ และอื่นๆ อีกหลายรายการ 6 ปีมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาท อย่างแน่นอน

 

รายจ่ายนี้ผู้เขียนไม่ได้มั่วนิ่ม ที่มั่วก็คือ ขี้เกียจคำนวณอย่างละเอียด ถ้าละเอียดยิบ ก็มีรายการต่างๆ อีกไม่น้อยเหมือนกัน อย่างค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ ล้างรถ ยังไม่นำมาคิด ถ้าคิดค่าน้ำมันด้วยแล้ว เงินเดือน 15,000 บาท หมดสิทธิ์ผ่อน รถเอาเงินไปใช้หมดแล้ว เงินเดือน 30,000 บาท กำลังสบายๆ ถ้าเงินเดือน 25,000 บาท ใช้ชีวิตอย่างอดๆ อยากๆ แต่เท่ห์ เพราะมีรถขับ

 

มูลค่ารถยนต์หลังผ่อน 6 ปีแล้ว

ผ่านไป 6 ปี รถป้ายแดงราคา 649,000 สมมุติว่า มูลค่ารถเหลืออยู่ประมาณ 400,000 บาท หรือ น้อยกว่านี้ หากเป็นรถยนต์ยี่ห้อไม่นิยม รถยุโรปบางคันผ่านไป 4 ปีราคาเหลืออยู่สี่แสนกว่าบาทจากรถยนต์ป้ายแดงหลักล้านบาท

 

เงินหายไป 910,256 - 400,000 = 510,2456 บาท ใน 6 ปี เงินหายไปห้าแสนกว่าบาท เยอะมากทีเดียว

 

ในระยะเวลา 6 ปีที่ต้องผ่อนรถ มีรถยนต์หนึ่งคันแต่ไม่มีเงินเก็บแน่นอน จะมีเริ่มมีเงินเก็บหลังปีที่ 6

 

การซื้อรถยนต์มือสองแทนการซื้อรถป้ายแดง

หากเราไม่ซื้อรถยนต์ป้ายแดง แต่ซื้อรถมือสอง อยากจะตั้งตัว เผื่อเงินไว้ใช้อย่างอื่น ไม่เอาเงินมาลงกับรถป้ายแดง ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน มีเงินเดือนประมาณ 25,000 มีเงินเก็บสักก้อนประมาณ 150,000 บาท

 

ซื้อรถมือสองในงบไม่เกิน 150,000

ในงบประมาณ 150,000 มีรถมือสองให้เล่นหลายคัน ที่ยังคงมีสภาพดีและสามารถใช้งานยาวๆ ไปอีก 6 ปีได้สบายๆ เช่นHonda City Type Z, Toyota Corolla, Toyota Vios
1. ซื้อรถในงบประมาณ 150,000 บาท
2. รถเก่าเหล่านี้หากมีประวัติการซ่อมบำรุง ก็ทำไปตามนั้น แต่หากไม่มีประวัติ ก็ต้องจัดการเอง โดยจะมีค่าใช้จ่ายไม่เกิน 50,000 เช่นเปลี่ยนยาง ถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำยาคูลแล้น เปลี่ยนแบตเตอรี่ ทำความสะอาดไดสตาร์ทหรือเปลี่ยนถ่าน อัดจาระบียางหุ้มเพลาขับ ซ่อมพวกลูกหมากต่างๆ สายพานต่างๆ งบซ่อมใหญ่ให้รถสมบูรณ์ที่สุด 50,000 บาท ก็เอาอยู่แน่นอน

 

รายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการซื้อรถมือสองใน 6 ปี

1. ค่าตัวรถ 109,000 บาท
2. ค่าซ่อมบำรุงรถอย่างเต็มที่ประมาณ 50,000 บาท
3. ใน 6 ปีมีค่าประกันชั้น 1 ปีละ 15,000 บาทขึ้นไป (สมมุติ แต่ของจริงไม่น่าจะหนีกันมาก) หรือ 6 x 15,000 = 90,000 บาท
4. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าซ่อมบำรุง เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง สายพาน เปลี่ยนยาง ฯลฯ รถเก่ารายจ่ายไม่ได้ลด มีค่าใช้จ่ายต่อปีไม่เกิน30,000 บาทต่อ 100,000 กิโลเมตร การใช้งาน 6 ปี สมมุติว่าขับไปเป็นระยะทาง 200,000 กิโลเมตรจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ60,000 บาท (แม้จะเป็นรถยนต์มือสอง แต่รายจ่ายในเรื่องการซ่อมบำรุงไม่ได้ลดมีแต่จะปรับเพิ่มขึ้น)
5. ระยะทางประมาณ 200,000 กิโลเมตร เปลี่ยนยาง 2 ชุด ประมาณ 20,000 บาท หรือน้อยกว่านี้
6. เปลี่ยนแบตเตอรี่ทุก 3 ปี รวม 2 ลูกๆ ละ 2,000 รวม 4,000 บาท

 

สรุปรายจ่ายรถมือสองทั้งหมดในระยะเวลา 6 ปี

รวมเงินทั้งหมด 109,000+50,000+90,000+60,000+20,000+4,000=333,000 บาท
หรือคิดเป็นเดือนๆ ละ 333,000 หาร 72 เดือน = 4,625 บาทต่อเดือน

 

** ตัวเลขทั้งหมดนี้ยังบวกไม่ละเอียด ยังมีรายจ่ายอื่นๆ อีก เช่น โช้คที่อาจจะเสีย ที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ และอื่นๆ อีกหลายรายการ6 ปีมีค่าใช้จ่ายมากกว่านี้ ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ ล้างรถ ซึ่งยังไม่ได้นำมาคิด แต่เงินเดือน 15,000 บาท ก็พอจะเอาตัวรอดหากมีวินัยการเงิน ถ้าเงินเดือนมากกว่านั้น ก็ใช้งานได้สบายๆ

 

มูลค่ารถยนต์มือสองหลังผ่านไป 6 ปี

ผ่านไป 6 ปี รถมือสองเหล่านี้ราคาจะลดเหลือประมาณ 70,000 หากยังรักษาสภาพได้สวยงามเหมือนเดิม รถราคา 109,000 บาท มูลค่ารถเหลืออยู่ ไม่ต่ำกว่า 70,000 บาท เงินหายไป 109,000 - 70,000 = 39,000 บาท รถมือสองราคาจะไม่ลดลงไปกว่านี้อีกแล้วสภาพสวยๆ อยู่ที่ 60,000-70,000 บาทขึ้นไป

 

สำหรับรถยนต์เครื่องเล็กยอดนิยม ราคาจะคงอยู่ประมาณนี้ ไม่เชื่อก็ไล่ ดูราคารถในเว็บไซต์ขายรถได้เลย ผู้เขียนบ้ารถชอบดูหนังสือซื้อขาย ดูราคารถ มาตลอด ตั้งแต่เริ่มมีรถ อย่างกระบะหัวเดียวเก่าๆ สภาพรถสวยราคาก็อยู่ประมาณนี้ 50,000 บาทขึ้นไป รถเล็ก City, Corolla ก็เหมือนกัน

 

เปรียบเทียบการซื้อรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสอง

1. ใน 6 ปี รถยนต์ใหม่มีรายจ่ายทั้งหมด 910,256 บาท ส่วนรถยนต์มือสองมีรายจ่าย 333,000 บาท คิดเป็นส่วนต่าง 910,256- 333,000 = 577,256 บาท หากการเงินยังไม่ดีนัก ก็จะช่วยประหยัดเงินและมีเงินเก็บ
2. ใน 6 ปี หรือ 72 เดือน รถยนต์ใหม่มีรายจ่ายต่อเดือน 12,642 บาท ส่วนรถยนต์มือสองมีรายจ่ายต่อเดือน 4,625 บาท (ยังไม่รวมค่าน้ำมัน และรายจ่ายอื่นๆ)
3. หลัง 6 ปี รถใหม่มีมูลค่าเหลืออยู่ (สมมุติ) 400,000 บาท ส่วนรถยนต์มือสองมีมูลค่าเหลืออยู่ 70,000 บาท

 

การเปรียบเทียบนี้ ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่า การซื้อรถป้ายแดงนั้น ทำให้เงินหายไปมากน้อยเพียงใด หากกำลังตั้งตัว เพิ่งเริ่มต้นทำงาน มีครอบครัว การซื้อรถป้ายแดงก็ไม่ควรทำ เช่น เงินเดือน 25,000 บาท ใน 6 ปี ถ้าไม่มีโบนัส ก็ไม่มีเงินเก็บแน่นอน
1. รถป้ายแดงมีรายจ่ายเดือนละ 12,642 เหลือเงิน 25,000 - 12,642 = 12,358 บาท
2. รถมือสองมีรายจ่ายเดือนละ 4,625 เหลือเงิน 25,000 - 4,625 = 20,375 บาท

 

* หากคิดให้ละเอียด เช่น ค่าน้ำมัน ค่าอาหารการกิน ที่พัก รายจ่ายส่วนตัวอีก 10,000 บาท ต่อเดือน การซื้อรถป้ายแดงอาจจะเหลือเงินเก็บเดือนละ 1,000-2,000 บาท ส่วนการใช้รถมือสองจะเหลือเงินเก็บมากกว่า แต่... ในความเป็นจริงแล้วไม่เหลือเลยเพราะมีเงินเหลือ มีรถ ก็จะพากันเที่ยว

 

การซื้อรถมือสองจะมีเงินเหลือไปทำอย่างอื่นได้ตั้งมากมาย เช่น ผ่อนบ้าน หรือลงทุนด้านอื่นๆ หลัง 6 ปี ย่อมจะมีเงินเก็บมากกว่าคนผ่อนรถป้ายแดงอย่างแน่นอน เพราะหากคิดค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ที่พัก ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และอื่นๆ คนซื้อรถป้ายแดงไม่น่าจะมีเงินเหลือในแต่ละเดือน 12,358 บาท ไม่น่าจะพอกับค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ที่พัก ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และอื่นๆ

 

ก่อนจะซื้อรถป้ายแดงสักคัน จึงควรคิดให้รอบคอบเสียก่อน ต้องคำนวณรายจ่ายให้ดี เพราะรายจ่ายจริงจะมากกว่ารายจ่ายที่คิดคำนวณไว้อย่างมากเลยทีเดียว

 

การผ่อนรถยนต์เป็นหนี้ผูกพันระยะยาว เครียดหลายปี เหนื่อยนะ... อย่าปล่อยให้ความอยากได้ อยากมีทำให้ขาดสติ คำนวณการเงินให้รอบด้าน เพื่อดูว่าเราจะสามารถผ่อนได้หรือไม่ ถ้าคำนวณเงินค่าใช้จ่ายมทั้งหมดที่เหลือต่อเดือนหลังผ่อนรถแล้ว หากเหลือน้อยมาก ก็แนะนำรถมือสอง มีรถไม่ถึง 100,000 บาท ให้เลือกหลายรุ่น