บทความแนะนำวิธีดูระบบไฟฟ้ารถยนต์มือสองเบื้องต้น เพื่อตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อรถ โดยเฉพาะรถมือสองที่ใช้ระบบแก๊ส รถดัดแปลง ซึ่งระบบไฟฟ้าอาจจะมีปัญหา ซึ่งระบบไฟฟ้ารถยนต์มักจะตรวจซ่อมไม่ยากหากเป็นรถมาตรฐาน
ก่อนจะเดินทางไปดูรถยนต์มือสองที่หมายตาไว้ ให้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นระบบไฟฟ้าของรถยนต์รุ่นนั้นๆ เสียก่อน ว่ามีอุปกรณ์อะไรบ้าง ราคาประมาณเท่าไร เมื่อถึงเวลาไปดูรถจริง ก็บวก ลบ คูณ หาร ค่าซ่อม หรือชิ้นส่วนที่เสีย หรือจำเป็นต้องซ่อมเช่น แบตเตอรี่ ไฟฟ้า แตร ฟิวส์ หัวเทียน จานจ่าย ฯลฯ
การหารถมือสองควรเลือกคันที่ยังเดิมๆ ไม่มีการปรับแต่ง แม้จะเป็นรถที่ติดตั้งแก๊สก็ตาม ปัญหาจากระบบไฟฟ้าก็จะไม่มี จะมีบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ แก้ไขไม่ยาก
1. ตรวจสอบแบตเตอรี่กันก่อนเลย ให้ดูระดับน้ำกลั่นมากน้อยเพียงใด หากเติมน้ำกลั่นให้คงที่อยู่ระหว่าง L และ F และใช้รถอยู่เป็นประจำทุกวัน ระยะทางยาวพอสมควร แบตเตอรี่จะไม่เสื่อมง่ายๆ หรือไม่ก็ถอดน็อตพลาสติกเพื่อดูระดับน้ำกลั่น ซึ่งแต่ละช่องจะมีขายื่นลงไป ระดับน้ำกลั่นควรอยู่ระดับปลายสุดของพลาสติกที่ยื่นลงไปในแต่ละช่อง ปริ่มๆ
2. การสตาร์ทรถหากไม่ติดง่ายๆ แสดงว่าแบตเตอรี่อาจจะไม่ดีแล้ว หรือปริมาณน้ำกลั่นในแบตเตอรี่น้อยเกินไป หรือกรณีใช้แบตเตอรี่แบบแห้ง จะเสื่้อมสภาพเร็วกว่าแบบเติมน้ำกลั่น หรือไดสตาร์ทอาจจะเริ่มมีปัญหา
3. ขณะบิดกุญแจเพื่อจะสตาร์ทให้คาไว้ที่ตำแหน่ง On ก่อน ยังไม่บิดสุดเพื่อสตาร์ทรถ ดูหน้าปัทม์ ไฟเตือนต่างๆ ปกติหรือไม่ ไฟเตือนต่างๆ มีความหมายอย่างไรบ้าง ต้องศึกษารถแต่ละรุ่นอย่างละเอียด
4. เปิดหรือปิดอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว แตร กระจกไฟฟ้า วิทยุ ตรวจสอบสวิทซ์เปิดปิดการใช้งาน อยู่ในสภาพดีหรือไม่ รถที่ใช้งานหลายแสนกิโลเมตรแล้ว อุปกรณ์บางตัวอาจจะชำรุด หรือใช้งานได้ไม่ดีนัก หลวมบ้าง โยกคลอนบ้าง
5. ดูการเดินสายไฟ ต้องเป็นระเบียบ เรียบร้อย ไม่เคยรื้อ เน้นรถมาตรฐานเดิมๆ
สรุป
ในรถยนต์ที่ไม่มีการดัดแปลง ไม่ติดแก๊ส ระบบไฟฟ้าแบบเดิมๆ มักจะไม่สร้างปัญหาใดๆ จะมีบ้างก็เป็นปัญหาจากอายุการใช้งานเช่นแบตเตอรี่หมด อายุ ไดสตาร์ทเสีย ถ่านหมด ให้ล้างทำความสะอาดและเปลี่ยนถ่านใหม่ ส่วนรายการอื่นๆ อาจจะมีปัญหากับฟิวส์บ้าง ไฟหน้า ไฟหรี่ ไฟท้ายขาดบ้าง ซ่อมเองได้ไม่ยาก ถอดออกมาแล้วไปหาเทียบกับร้านอะไหล่ใกล้บ้าน
ในรถยุโรปหรือรถนำเข้าหรือรถบางรุ่นที่มีระบบไฟฟ้ามาก ขณะยังเป็นรถใหม่ ระบบไฟฟ้าไม่มีปัญหา ก็น่าใช้ แต่เมื่อเป็นรถยนต์มือสอง หากมีปัญหา ก็จะมีค่าซ่อมค่อนข้างมากตามมา ที่น่ากลัวก็คือ หากซ่อมไม่จบ จะสร้างปัญหาปวดหัว เน้นรถยนต์มือสองที่มีระบบไฟฟ้าไม่มาก จะดีกว่า