บทความนี้จะมาแนะนำวิธีเปลี่ยนหรือตั้งค่ารหัสผ่าน wifi ของเน็ตบ้าน เช่น TOT 3BB AIS เป็นต้น เพื่อให้ยากต่อการแกะรหัสผ่านซึ่งหลายคน มักจะตั้งง่ายๆ ด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือ การเปลี่ยนรหัสผ่านด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องโทรศัพท์ตามเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่าย แต่สามารถทำเองได้ง่ายๆ ด้วยมือถือ android หรือ iPhone ตามแต่สะดวก

 

ผู้ใช้เน็ตบ้าน จำเป็นจะต้องศึกษาวิธีเปลี่ยนรหัสผ่านไวไฟด้วยตัวเอง เพื่อความปลอดภัย และ ป้องกันไม่ให้คนอื่นมาแอปใช้ไวไฟ ซึ่งไม่เพียงทำให้เน็ตเราช้าลง แต่หากโพสต์ข้อความที่ผิดกฏหมาย ก็อาจจะทำให้เจ้าของบ้านเดือดร้อน

 

ดูรหัสผ่านของ WiFi เราเตอร์

สิ่งแรกที่จะต้องรู้ก็คือ รหัสผ่านของ WiFi router ซึ่งจะอยู่ใต้ท้องเครื่องจะมีข้อมูล Username และ Password ซึ่งมักจะใช้ง่ายๆ ไม่ปลอดภัย เช่น
1. Username = admin
2. Password = admin
3. ข้อมูลอื่นๆ ที่จะต้องรู้ ก็คือ ยี่ห้อของไวไฟเราเตอร์ เช่น TP-Link
4. ชื่อรุ่นของไวไฟเราเตอร์ เช่น EC230-G1 กรณีต้องการรู้วิธีเปลี่ยนรหัสผ่าน ก็จะได้พิมพ์ค้นหาในยูทูปได้เลย เช่น เปลี่ยนรหัสผ่าน tp-link EC230-G1

 

รหัสผ่านที่ให้มากับตัวเราเตอร์ไวไฟนั้น ควรเก็บเป็นความลับ ควรจะตั้งให้ยากต่อการแกะรหัส เพราะหากผู้อื่นรู้ username และ Password ก็ จะสามารถเปลี่ยนแปลงรหัส wifi บ้านของเราได้ทันที

 

ดูหมายเลข IP WiFi router ของเรา

1. เข้าแอป การตั้งค่า
2. แตะ WiFi ซึ่งขณะนี้ได้เชื่อมต่อกับ WiFi ชื่อ ให้แตะเลือก
3. แตะชื่อไวไฟ เพื่อเปิดดูข้อมูลเพิ่มเติม เช่น myhome


4. ดูหมายเลข IP เช่น 192.168.0.79 แสดงว่า IP ของไวไฟเน็ตบ้านของเราควรจะเป็น 192.168.0.1 ให้จดเอาไว้

 

การเปลี่ยนรหัสผ่านไวไฟเน็ตบ้าน

ในการเปลี่ยนรหัสผ่านนั้นจะมี 2 แบบ คือ รหัสผ่านของตัวเราเตอร์ไวไฟ และ รหัสผ่านไวไฟเพื่อเข้าใช้งานไวไฟเน็ตบ้านของเรา ข้อมูลเหล่านี้ บางคนก็จะให้เจ้าหน้าที่ที่ติดตั้งเน็ตบ้าน เป็นผู้ตั้งค่า
1. ให้เข้า Chrome
2. พิมพ์หมายเลข IP เช่น 92.168.0.1
3. พิมพ์ username และ password ที่อยู่ใต้ตัวไวไฟเราเตอร์ แล้วแตะ Log in


4. ตัวไวไฟเราเตอร์แต่ละยี่ห้อจะมีวิธีเปลี่ยนต่างกันไป อย่างของ TP-Link ให้ไปที่ Wireless
5. แตะ Basic
6. myhome1 จะเป็นชื่อไวไฟบ้านของเรา
7. เปลี่ยนรหัสผ่านทั้งสองช่อง จากตัวอย่างตั้งรหัสผ่านง่ายๆ ด้วยการใช้เบอร์โทรศัพท์ ควรตั้งให้ยากขึ้น เช่น ใช้ $ ผสมในรหัสผ่าน

 

การที่มีบุคคลอื่นมาแอบใช้ wifi ส่วนตัวของเราซึ่งอาจจะเป็นบ้าน ร้านค้า หรือหน่วยงาน ไม่ใช่เรื่องดีเพราะหากมีการโพสต์ข้อมูลผิดกฎหมาย หรือพาดพิงบุคคลอื่นให้ได้รับความเดือดร้อน เจ้าของ WiFi จะต้องรับผิดชอบ จนกว่าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง การพิสูจน์อาจจะไม่ง่ายเพราะว่าผู้ใช้งานนั้นอาจเป็นลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านค้า ไม่มีข้อมูลในการติดต่อ นอกจากนี้ก็จะทำให้อินเทอร์เน็ตของเราเชื่อมต่อได้ช้าลง เพราะมีคนใช้งานร่วมกันหลายคน