บทความแนะนำแนวทางดูแลตัวเองจากไวรัสโควิด-19 สำหรับคนมีครอบครัว หรือมีสมาชิกในบ้านหลายคน จำเป็นจะต้องศึกษาให้รอบด้าน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีผู้สูงวัยที่ขาดความรู้ และเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร จนอาจจะกลายเป็นจุดเสี่ยง มีโอกาสนำเชื้อโรคโควิดมาแพร่ให้คนใน บ้านโดยไม่รู้ตัว
การอยู่คนเดียว การดูแลตัวเองจากไข้หวัดโควิด 19 นั้นทำได้ง่าย แค่เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกไปสุงสิง พูดคุยกับใคร ก็มีโอกาสรอด ปลอดภัยแล้ว แต่การอยู่กันหลายคน โดยเฉพาะคนในต่างจังหวัด หรือคนที่ไม่มีความรู้ คนสูงวัย พ่อแม่ปู่ย่าตายาย คนที่เข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต ไม่สามารถเข้าไปติดตามดูวิดีโอได้ทันเหตุการณ์ก็ย่อมจะไม่รู้อะไรเลย อย่างแม่ผู้เขียน จะหาเรื่องออกจากบ้านทุกวัน เอาแต่คิดว่า โรคมันอยู่ กรุงเทพจะมาได้อย่างไร เริ่มจะยอมเชื่อ หลังจากมีคนในจังหวัดเป็นโรคนี้ จึงเริ่มระวัง แต่ก็ยังคิดว่า ไกลตัวอยู่ดี เพราะเกิดอีกอำเภอหนึ่ง ไกลตัว เองมาก
พ่อแม่บางคนก็ยังออกจากบ้าน เครียดๆ ไม่รู้จะทำอะไร ก็หาเรื่องไปบ้านญาติคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง เพราะต่างก็คิดเอาเองว่า แต่ละบ้าน ไม่มี โอกาสได้รับเชื้อ เนื่องจากไม่ได้ออกไปไหน แต่บางทีอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด อย่างการไปตลาด แล้วมีคนต่างถิ่นเดินทางผ่านมา ซึ่งอาจจะติดเชื้อ และมาแพร่กระจายโดยไม่รู้ตัว หรือมีสมาชิกบางคนต้องออกไปทำงานทุกวัน ก็มีโอกาสรับเชื้อเข้าตัวและเข้าบ้าน
แนวทางการดูแลตัวเองจากไวรัสโควิด19 สำหรับคนมีครอบครัว
อย่าทานอาหารร่วมกัน
ในสถานการณ์แบบนี้ การทานอาหาร ควรจะเป็นแบบบุฟเฟ่ อยากกินอะไร ก็ทำกินเอง หรือต่างคนต่างกัน แต่ละคนก็รับผิดชอบตัวเอง กิน แล้วก็ล้างจานตัวเองให้เรียบร้อย ลดการทานร่วมกัน การใช้ช้อนกลาง ยิ่งจะมีโอกาสเสี่ยง คนนั้นแตะที คนนี้หยิบที ส่งต่อเชื้อโรคกันไม่หยุด เดี๋ยวก็หยิบอาหารเข้าปาก เดี๋ยวก็หยิบช้อน วุ่นไปหมด แบบนี้ไม่ปลอดภัยแน่นอน ดังนั้น ต่างคนต่างก็หากินเอง หากมีสมาชิกหลายคน ก็ควร แบ่งอาหารไว้ให้แต่ละคน ให้เรียบร้อย ป้องกันการเลือกกินแต่ของอร่อยๆ ของสมาชิกบางคน
แยกกันอยู่มุมใครมุมมัน
การอยู่ในบ้าน แม้จะเคยรักใครกันแค่ไหน ก็ต้องแยกตัว อยู่ห่างๆ กันไปก่อน อยู่ห่างๆ แบบห่วงๆ การไม่พูดกัน ไม่ติดต่อกัน จะช่วยให้ร่าง กายไม่รับเชื้อเพิ่ม และมีโอกาสที่ร่างกายของแต่ละคนจะสามารถจัดการฆ่าเชื้อโรคได้มากที่สุด และหมดเร็วที่สุด ทำให้ครอบครัวปลอดภัย หาก เอาแต่สนทนากัน คุยกัน ก็จะแพร่เชื้อให้กันเอง ไม่หยุด การทำงานของภูมิคุ้มกันของร่างกายในการฆ่าเชื้อไวรัส หรือ สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่าง กายก็จะลดลง
เช่าอยู่คนเดียวสำหรับคนที่ต้องทำงานนอกบ้าน
หากมีสมาชิกคนหนึ่ง คนใดในบ้าน ที่ต้องออกไปทำงานทุกวัน ก็ควรจะแยกตัว ออกไปเช่าบ้านอยู่คนเดียว เพื่อลดการติดต่อกับสมาชิกที่ เหลือในบ้าน เพราะอาจจะเป็นการนำเชื้อโรคมาแพร่ให้คนในบ้าน
จัดห้องให้สะอาด หมั่นทำความสะอาดห้อง
ทำความสะอาดห้องด้วยสบู่ หากไม่มีแอลกอฮอล์ การทำความสะอาดบ้านด้วยสบู่ ก็ไม่ยาก ปกติอาจจะใช้น้ำยาล้างพื้น ผงซักฟอก ก็เปลี่ยน มาใช้สบู่ โดยเฉพาะสบู่นกแก้ว จะมีฟองเยอะมาก ใช้เช็ดพื้นถูพื้น สบู่ก็สามารถฆ่าไวรัสได้เหมือนกัน ห้องที่สะอาด ก็ย่อมจะปราศจากเชื้อโรค
อย่าพยายามพูดคุยกัน ต่างคนต่างอยู่
การอยู่ในบ้าน ก็ต่างคนต่างเก็บตัว อยู่ในมุมของตนเอง ที่ต้องแยกกันอยู่ ก็เพื่อให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายได้มีเวลาค้นหาและกำจัดไวรัส เชื้อโรคที่ อาจจะได้รับมาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะคนที่ต้องออกไปข้างนอก แล้วเข้ามาในบ้าน ยิ่งจะต้องเก็บตัว ไม่พูด ติดต่อกับใคร ระวังการหยิบจับภาชนะ และควรอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่เข้าบ้าน เพื่อป้องกันตัวเองและคนรอบข้างก่อนในระดับหนึ่ง
เมื่อเก็บตัวและพบว่า ตัวเองไม่มีความผิดปกติอะไรแล้ว จึงอาจจะเริ่มพูดคุยกันบ้าง แต่ก็ต้องดูว่า คนที่พูดคุยด้วยนั้น ไม่ใช่คนที่เพิ่งจะออก จากบ้าน และเพิ่งกลับเข้ามาในบ้าน
สลับกันไปทำธุระนอกบ้าน
หากมีเหตุให้ต้องไปทำธุระต่างๆ นอกบ้าน ไปซื้อกับข้าว ไปติดต่องาน ฯลฯ ควรสลับกันไป ไม่ต้องไปด้วยกัน และอย่าให้คนหนึ่งคนใด ออก ไปรับโรคเพียงคนเดียว เพราะร่างกายจะขจัดเชื้อโรคไม่ทัน ควรให้มีเวลาพัก ไม่ออกไปไหน หากไปรับเชื้อโรคเข้าสู่ตัวเอง ก็จะได้มีเวลาให้ภูมิคุ้ม กันในร่างกายได้ขจัดเชื้อโรคอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วงนี้ ไม่เพียงไวรัสโควิดที่ระบาด ยังมีไวรัสชนิดอื่นด้วยเช่นกัน
พักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงมากขึ้น มีประสิทธิภาพในการฆ่าไวรัส เชื้อโรคที่เข้าสู่ร่่างกายได้มากขึ้น หากอากาศ เย็น โดยเฉพาะในช่วงดึก ก่อนนอนก็ควรหาผ้าพันคอ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ็บคอ ควรเตรียมผ้าห่มไว้ข้างตัว เผื่อห่มป้องกันอากาศที่เย็นลงในช่วง ดึกหลังเที่ยงคืน และควรเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม
การแยกกันนอนเป็นสิ่งที่ต้องทำในช่วงนี้ เพื่อลดการสูดอากาศที่ถูกปล่อยออกมาจากอีกคน วิธีนี้จะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ใน ระดับหนึ่ง
หมั่นสังเกตุอาการผิดปกติของตัวเอง
แต่ละคนควรจะหมั่นสังเกตุอาการผิดปกติของตนเอง ว่ามีความผิดปกติอะไรบ้าง เช่น เจ็บคอ เจ็บหน้าอก มีไอ มีเสมหะ มีไข้ และต้องศึกษา ให้รู้ว่า อาการแต่ละอย่างนั้น น่าจะเกิดจากอะไรกันแน่ ส่วนกรณีของไวรัสโควิดนั้น มักจะมีอาการตามนี้ เช่น
1. มีไข้ และไม่ลด อุณหภูมิร่างกาย ประมาณ 37 กว่าองศาขึ้นไป
2. มีอาการไอแห้ง ไม่มีเสมหะ ถ้าไอติดๆ กัน บ่อยๆ ก็ต้องระวัง
3. มีอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
4. มีอาหารไอและมีเสมหะ
5. มีอาการหายใจไม่คล่อง ไม่เต็มปอด ลองถอนหายใจแรงๆ มีอาการเจ็บหน้าอก
6. มีอาการปวดเมื่อยตามตัว กล้ามเนื้อ
7. มีอาหารเจ็บคอ
เป็นต้น
นอกจากการสำรวจอาการตัวเองแล้ว ก็ต้องสำรวจอากาศด้วย มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ บางทีกลางวันร้อนมาก แต่หลังเที่ยงคืนอากาศเริ่ม เย็น และเย็นมาก ประมาณหลังตีสามเป็นต้นไป หากนอนหลับไปโดยไม่ห่มผ้า ตื่นเช้ามาก็จะอาจจะมีอาการต่างๆ ดังที่กล่าวมา ซึ่งบางทีอาจจะ ไม่ได้ติดเชื้อโควิด หรือ ไวรัสใดๆ ดังนั้นก็ควรห่มผ้า หรือใช้ผ้าพันคอไว้ก่อน แม้จะร้อนในช่วงแรก แต่สบายใจเมื่ออากาศเย็นลง ขณะหลับสนิท
เมื่อมีอาการดังที่กล่าวมาก็ต้องสำรวจว่า ในแต่ละวัน ได้มีการติดต่อกับผู้คนที่ไหนอย่างไรบ้าง เช่น ไปเดินตลาดสด มีผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่สามารถระบุได้ว่า มาจากไหน ก็จะต้องระวัง ว่าอาจจะมีโอกาสติดเชื้อ แต่หากไม่ได้ติดต่อใครเลย ติดต่อเฉพาะคนในพื้นที่ และคนในพื้นที่ ก็ ไม่ได้ติดต่อใคร กรณีอย่างนี้ สาเหตุก็มีโอกาสมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ไม่ได้มาจากเชื้อโรคที่แพร่กระจายจากคนรอบข้าง
หมั่นติดตามข่าวสาร
เพื่อให้รู้ว่า มีช่องทางใดบ้าง ที่อาจจะเป็นจุดเสี่ยงที่มองข้าม ทำให้ตัวเองติดเชื้อ เช่น บางพื้นที่มีร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งลูกน้องติดเชื้อจากลูกค้าที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่น ที่กำลังมีผู้ติดเชื้อ กรณีนี้ ก็จะมีโอกาสแพร่เชื้อมากน้อย ตามจำนวนลูกค้าที่มาอุดหนุนในแต่ละวัน บางทีเราก็อาจจะมองข้าม เพราะคนที่ไปซื้อ ก็เป็นคนในบ้านเราเอง หรือบางทีคนจากจังหวัดอื่นก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะรู้ว่าตัวเองป่วยแล้ว จึงมาหาที่อยู่ใหม่ บางคนมาแล้วก็ไม่กักตัว ยังออกไปพบผู้คน ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ เป็นต้น คนในพื้นที่ก็จะคิดว่า ตัวเองปลอดภัย เชื้ออยู่กรุงเทพ ไม่มาถึงตนเองหรอก แต่ที่ไหนได้ ไม่ใช่อย่างที่คิด
แต่การติดตามข่าวสารก็ต้องระวังอย่าให้มากเกินไป และขาดสติ บางคนเกิดความกลัวไปหมด ต้องศึกษาให้เข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดความกลัว และตื่นตระหนก อาจจะทำให้ติดสินใจหรือกระทำบางอย่างผิดพลาดได้ กลัวมากจนขาดสติ ก็ไม่ใช่เรื่องดี
สำหรับการอยู่กันเป็นครอบครัวจะมีความเสี่ยง มีโอกาสได้รับเชื้อ ถ้าสมาชิกในบ้านไม่มีวินัย ใครอยากจะออกไปไหน ก็ไป ต่างคนก็ต่างไป รับเชื้อโรคเข้าสู่ตัวเอง เมื่อเข้าบ้าน ก็จะพากันนำเชื้อโรคมาแพร่กระจายใส่กัน ดังนั้น จึงต้องศึกษา ดูแลตัวเอง ดูแลคนรอบข้าง อย่างเข้าใจ ก็จะมี โอกาสลดการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ครอบครัวก็จะปลอดภัย